ผู้นำนักคาดการณ์ พลิกนิเวศวิกฤตเพื่อธุรกิจยุคใหม่

รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข
รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข

โลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disrupt) ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศ องค์กร และชุมชน ตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จนทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ผันผวนยากจะคาดเดา ทั้งยังทำให้ระบบการทำงาน การใช้ชีวิตต้องเปลี่ยนไปมากบ้างน้อยบ้าง จนถึงระดับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแบบตั้งตัวไม่ทัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ องค์กรทุกภาคส่วนจึงต้องการมี “ผู้นำ” ที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้มากที่สุด เพื่อนำพาองค์กรให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน

“รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข” ที่ปรึกษาบริหารสำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า นิเวศวิกฤตทำให้เกิดสถานการณ์ท้าทายหลายอย่างแก่ผู้นำองค์กร ได้แก่ หนึ่ง ความท้าทายจากเศรษฐกิจที่คลุมเครือ และปรับเปลี่ยนรวดเร็วตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่ผันแปร จนทำให้คาดการณ์ต้นทุนค่าใช้จ่าย และการผลิตยาก

รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข
รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข

เช่น ราคาพลังงานที่ปรับตามสถานการณ์การสู้รบ ราคาค่าขนส่งที่พุ่งสูงเมื่อเรือสินค้าไม่สามารถแล่นผ่านทะเลแดง รวมถึงราคาสินค้าพุ่งสูงตามราคาพลังงาน และค่าขนส่ง ยิ่งถ้าประเทศผู้ผลิตอยู่ในภาวะสงครามด้วย

สอง ความไม่ยั่งยืน และไม่เสถียรของระบบนิเวศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อความยั่งยืนขององค์กรที่ต้องปรับกลยุทธ์การบริหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ตนเอง และระบบนิเวศที่เกี่ยวพันอยู่ องค์กรถูกกดดันให้ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ในการดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุน เวลา และทรัพยากรที่ต้องใช้

สาม ระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ขาดเสถียรภาพ และสภาพตลาดที่มีพลวัตสูง องค์กรไม่สามารถพึ่งพาองค์กรในประเทศใดประเทศหนึ่งให้เป็นผู้จัดส่งทรัพยากร หรือผลผลิตได้ ต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการหาแหล่งสนองห่วงโซ่อุปทานให้มากกว่าเดิม เช่นเดียวกับตลาด และความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สี่ ภาวะผู้นำที่ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และแรงงานคนรุ่นใหม่ โดยปี 2567 คนรุ่นเจน Z ที่จะเข้ามาเป็นแรงงานในจำนวนที่มากกว่าคนรุ่น Baby Boomers เป็นปีแรก

ห้า การนำ Generative AI (ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถสร้างคอนเทนต์ และเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ ได้เหมือนมนุษย์ ทั้งในรูปแบบข้อความ เสียง รูป เพลง และโค้ด) มาใช้อย่างแพร่หลาย โดยจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานของธุรกิจให้สามารถทำแบบอัตโนมัติ พัฒนาการสื่อสาร และความร่วมมือ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่จะทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ดีมากยิ่งขึ้น

หก สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานวัยทำงานทั่วโลก จากการที่สังคมโลกก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI ที่ทั้งกำจัดงานเก่า และสร้างงานใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum-WEF) คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 แรงงานกว่าครึ่งทั่วโลกต้องได้รับการ Reskill และ Upskill ใหม่อย่างน้อยคนละประมาณ 6 เดือน เพื่อมีทักษะการทำงานทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

“ความท้าทายข้างต้นเป็นเหตุผลที่ผู้นำองค์กรทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับบทบาท เพิ่มพูน เปลี่ยนแปลง สร้างองค์ความรู้ และทักษะในการบริหารประเทศ องค์กร และชุมชนอย่างเร่งด่วน และต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นผู้นำนักคาดการณ์ (Foresight Leader)

แต่ไม่ใช่ว่าผู้นำจะบริหารองค์กรในแบบทิ้งโลกเก่าไปโดยสิ้นเชิงได้ แต่ผู้นำต้องเรียนรู้จากองค์กรธุรกิจระดับโลกที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ว่าเขาบริหารกันอย่างไร จึงสามารถวิวัฒน์องค์กรผ่านกาลเวลาอย่างมีสัมฤทธิผลด้วย”

สำหรับทักษะที่ “ผู้นำนักคาดการณ์” จะต้องมี คือ หนึ่ง Data Literacy ผู้นำต้องรู้ว่าสามารถแสวงหาข้อมูลจากที่ไหน ทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเป็น และประมวลข้อมูลเพื่อนำไปใช้ทำการคาดการณ์ และตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้สัมฤทธิผล ซึ่งทักษะด้านนี้คนไทยขาดสูง คนไทยมีลักษณะ Passive คือชอบที่จะถูกป้อนข้อมูลมากกว่าค้นหาด้วยตัวเอง

การขาดทักษะด้านนี้ส่งผลให้คนไทยหลายคนแสดงความคิดเห็นไม่เป็น ซึ่งประเทศไทยมีกลุ่มคนที่มีทักษะระดับสูงกระจุกอยู่แค่ 13% เท่านั้น สอง ความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สาม ความสามารถในการบริหารกระแสเงินสด และสี่ ความสามารถในการพลิกผันตัวเอง และทรานส์ฟอร์มตัวเองได้เสมอ

“ส่วนในเรื่องการบริหารคน ผู้นำต้องรู้จักการสร้างแรงบันดาลใจ และมีความเข้าใจในเรื่อง Diversity and Inclusion (D&I) คือ แนวคิดการบริหารที่สนับสนุนความหลากหลาย และยอมรับความแตกต่างของพนักงานในองค์กรด้านต่าง ๆ เพราะปัจจุบันมีการไหลเข้าของแรงงานต่างชาติมากขึ้น เพื่อมาทำงานในตำแหน่งที่ขาดแคลน

ยกตัวอย่าง ตอนนี้เริ่มเห็นโรงพยาบาลบางแห่งจ้างพยาบาลจากฟิลิปปินส์บ้างแล้ว เนื่องจากเราผลิตพยาบาลไม่พอ นอกจากนั้น ผู้นำต้องบริหารองค์กรแบบ Hybrid และต้องปรับกฎระเบียบให้ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อสร้างแนวทางรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”

“รศ.ดร.ศิริยุพา” อธิบายต่อว่า ประเทศไทยสามารถสร้าง “ผู้นำนักคาดการณ์” ให้เกิดขึ้นได้ ท่ามกลางอนาคตสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้าหาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันตั้งตัวด้วยการ “Accelerate” หรือ “เร่งความเร็ว” และ “Preskill” คือ การฝึกอบรมผู้นำรุ่นใหม่ล่วงหน้าในด้านต่าง ๆ ดังนี้ หนึ่ง สอนให้มีความตระหนักในอคติ (Bias) และตัวตน (Ego) ของตนเอง เพื่อลดอัตตา ทำให้รู้จักเปิดใจกว้างรับฟังผู้อื่น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด

สอง ผู้นำรุ่นก่อนที่เป็นคนดี และคนเก่ง ต้องเป็นแบบอย่าง หรือต้นแบบ (Role Modeling) ในการปฏิบัติ

สาม โค้ชแบบตัวต่อตัว และแบบกลุ่มเล็ก เพื่อลงรายละเอียดเชิงลึก และสร้างทักษะในการโค้ชผู้อื่นให้ผู้นำรุ่นใหม่ด้วย

สี่ ทำการปฏิบัติผ่านกรณีศึกษาและการบริหารโครงการเพื่อฝึกฝนการใช้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ฉากทัศน์ (Scenario Analysis) ในสถานการณ์ต่าง ๆ และห้า ลงฝึกงานหน้างานจริงในทุกแผนกเพื่อความรอบรู้ ส่งเสริมความสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานในอนาคต

“ถึงแม้เราต้องการสร้างผู้นำแห่งอนาคต แต่บทเรียนเก่า ๆ ขององค์กรที่มีความยั่งยืน และมีอายุกว่า 100 ปี ก็เป็นเครื่องมือช่วยผู้นำรุ่นใหม่ได้ ซึ่งจากสถิติพบว่าบริษัทที่มีอายุกว่าร้อยปีโดยมากเป็นองค์กรในประเทศญี่ปุ่น เมื่อถอดรหัสเราจะพบว่าองค์กรเหล่านั้นใช้หลัก Sanpo Yoshi หลักการ 3 ฝ่ายต้องชนะด้วยกัน หรือ Good for Three Parties คือต้องดำเนินธุรกิจที่คำนึงว่า ผู้ขาย ผู้ซื้อ และสังคม ต้องได้ไปด้วยกัน และเติบโตด้วยกันได้”

ดังนั้น ถ้าสังเกตองค์กร 100 ปี จะให้ความต้องการของลูกค้า คือ มาตรฐานของสินค้า และบริการ มาก่อนการสร้างผลกำไร จนสามารถบริหารกระแสเงินสดในมือ (Cash on Hand) ฉะนั้น ผู้บริหารองค์กรเหล่านั้นจึงต้องหมั่นเรียนรู้ข้อมูลสิ่งใหม่ พร้อมพลิกผันสร้างนวัตกรรมเสมอ

ตัวอย่าง โตโยต้า ที่เปลี่ยนจากโรงงานทอผ้ามาสร้างรถยนต์, IBM เปลี่ยนจากผลิตคอมพิวเตอร์มาเป็นการให้ Business Solutions, Shell เปลี่ยนจากการขายเปลือกหอยที่เป็นเครื่องประดับตกแต่งเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1830 มาเป็นการขุดเจาะขายน้ำมัน ที่สำคัญ บริษัทกลุ่มนี้เชื่อในการรักษาพนักงานคนเก่งให้อยู่ทำงานกับองค์กรไปนาน ๆ

นับว่า “ผู้นำนักคาดการณ์” คือ ผู้นำที่สามารถพลิกผันโลกทัศน์ วิสัยทัศน์ จนสามารถสร้างระบบนิเวศขององค์กรที่สนับสนุนให้พนักงานทำงานอย่างคล่องตัว ยืดหยุ่น เพื่อสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์อุปทาน จนผสานคุณค่าของโลกเก่า และโลกใหม่ อย่างมีดุลยภาพ