Share The Love ปันรักเด็กอ่อนสลัมบ้านเสือใหญ่

บริษัท เปอโยต์ ไลอ้อน ออโตโมบิล จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เชิญชวนคนไทยร่วมส่งต่อความรักให้กับเด็กอ่อนในสลัม กับโครงการเพื่อสังคม “Share The Love ปันรักสร้างรอยยิ้ม”

ซึ่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา เปอโยต์มีการนำร่องมอบสิ่งของจำเป็นพร้อมกับเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก ๆ พร้อมกับบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ ซอยรัชดาภิเษก 36

“ภูยศ มังกรกาญจน์” ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เปอโยต์ ไลอ้อน ออโตโมบิล จำกัด กล่าวว่า โครงการ Share The Love ปันรักสร้างรอยยิ้ม เป็นโครงการเพื่อสังคมที่เราเพิ่งริเริ่มทำ เนื่องจากมองเห็นถึงปัญหาในสังคม โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือเด็กขาดโอกาส

เพราะมองว่าเด็กคืออนาคตของชาติ ควรได้รับการดูแล และพัฒนาการที่ดีให้เหมาะสมตามช่วงวัย เพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นบุคลากรสำคัญของประเทศ

“เปอโยต์ริเริ่มโครงการในมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม เพราะเด็กอ่อนในชุมชนแออัดมักจะประสบปัญหาหลายด้าน อาทิ ถูกทอดทิ้ง บางรายผู้ปกครองต้องออกไปรับจ้าง ปล่อยเด็กไว้ลำพัง จึงทำให้พวกเขาขาดการส่งเสริมพัฒนาการ

ดังนั้น การที่เปอโยต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน จะช่วยแบ่งเบาภาระมูลนิธิได้บ้าง โดยเราจะให้ลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเด็ก ๆ ด้วยการทยอยมอบเงินจากการจอง และส่งมอบรถยนต์เปอโยต์รุ่น 2008, 3008 และ 5008 เจ็ดที่นั่ง ตลอดเดือนกุมภาพันธ์

และจะมีการต่อยอดไปเรื่อย ๆ ผมมองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรา เริ่มที่บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ก่อน หากมีโอกาสและความพร้อมจะขยายการช่วยเหลือสู่บ้านเด็กอ่อนอื่น ๆ ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิต่อไป”

“ศีลดา รังสิกรรพุม” ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ กล่าวเสริมว่ามูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ก่อตั้งมากว่า 40 ปี เปิดรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ เพื่ออบรม เลี้ยงดูเด็ก ส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมตามวัย ปัจจุบันมูลนิธิมีบ้านเด็กอ่อนที่อยู่ในความดูแล 4 หลัง

ได้แก่ บ้านสมวัย (ชุมชนคลองเตย) บ้านศรีนครินทร์ (ชุมชนกองขยะหนองแขม) บ้านแห่งความหวัง (ซอยอ่อนนุช 88 แยก 10) และบ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ (ชุมชนเสือใหญ่ประชาอุทิศ) ทั้ง 4 แห่งให้การดูแลเด็ก ๆ เฉลี่ยวันละประมาณ 250 คน

ในประเทศไทยการรับจ้างเลี้ยงเด็กจะแพงมาก ค่าใช้จ่ายต่อเดือนน่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท ทำให้คนจนเข้าไม่ถึง จึงมีมูลนิธิรับเลี้ยงเด็กขึ้นมา โดยบ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่เรารับตั้งแต่อายุ 3 เดือนจนถึง 5 ขวบ มีทั้งเด็กไทยและต่างชาติ กัมพูชา เมียนมา ซึ่งเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน เดิมบ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ตั้งอยู่ปากซอยรัชดาฯ 36

แต่สมัยนั้นโดนไล่ที่ จนเกือบปิดตัวลง จนกระทั่งเดินสำรวจชุมชนรอบ ๆ พบว่า คนในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง บางรายขับรถซาเล้งเก็บขยะ และมีบุตรหลานนั่งรถไปด้วย ขณะที่บางส่วนพ่อแม่ทำงานในไซต์ก่อสร้าง ซึ่งเป็นที่น่ากังวล เพราะเด็กอาจถูกทอดทิ้ง และไม่ได้รับการดูแล พัฒนาการที่เหมาะสม จึงมีแนวคิดกลับมาเปิดอีกครั้งหนึ่ง

“เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตที่ดีได้ เนื่องจากครอบครัวยากจน พ่อแม่เลิกรา อยู่กับปู่ย่าตายาย ต้องเจอกับความยากลำบาก เห็นอาชญากรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว การเติบโตอย่างมีคุณภาพนั้นจึงยาก ดิฉันเคยถามถึงความฝันของเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร บางคนตอบอยากเป็นคนขับรถเก็บขยะ ขณะที่บางคนบอกว่าอยากกวาดถนน

ดังจะเห็นว่าความฝันของพวกเขานั้นอยู่ไม่ไกลตัวเลย ในส่วนของบ้านสมวัย (ชุมชนคลองเตย) เป็นเด็กที่พ่อแม่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด วนเวียนเข้าออกเรือนจำ ขณะที่บ้านแห่งความหวัง (ซอยอ่อนนุช 88 แยก 10) และบ้านศรีนครินทร์ (ชุมชนกองขยะหนองแขม) ดูแลเด็กที่พ่อแม่มีอาชีพคุ้ยขยะในแหล่งเทกองขยะของ กทม. สภาพความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก”

“ศีลดา” กล่าวอีกว่า เด็กที่ขาดโอกาสยังมีอีกมาก โดยเฉพาะสลัมในกรุงเทพฯที่ขึ้นทะเบียนมีไม่น้อยกว่า 2,000 แห่ง ไม่รวมที่ไม่จดทะเบียน ดังนั้น มูลนิธิจึงพยายามสนับสนุนให้ชุมชนต่าง ๆ เปิดบ้านรับเลี้ยงเด็ก ผ่าน “โครงการบ้านร่วมพัฒนาเด็ก” เพื่อให้ชาวบ้านช่วยดูแลเด็กรอบด้าน

พร้อมจัดกิจกรรมให้เด็กปัจจุบันมีบ้าน 70 หลัง ดูแลเด็กประมาณ 3,000 คนต่อปี เท่ากับขยายโอกาสไปยังเด็กในชุมชนแออัดด้วย ถ้ามีความพร้อมก็จดทะเบียนเป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก จนทำให้บ้านร่วมพัฒนาเด็กเป็นเครือข่ายของมูลนิธิ และเป็นศูนย์กลางช่วยเหลือเด็กในชุมชน หากพบเด็กเผชิญปัญหาจะนำมาส่งต่อที่มูลนิธิ

“เด็กอ่อนในสลัมทั่วประเทศลำบากมาก แต่ยังขาดกลไกการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม การแก้ปัญหาส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่ผู้ใหญ่ ไม่มีใครนึกถึงเด็ก ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันผลักดันให้เห็นความสำคัญของเด็กมากขึ้น เพราะเด็กไม่ได้รับความเท่าเทียม เราจึงต้องช่วยกันลดปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้น”