ไทย-UK โชว์แพลตฟอร์ม ดูแลสุขภาพสัตว์น้ำ-ปศุสัตว์ยั่งยืน

ไม่นานผ่านมาศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกับสหราชอาณาจักร (UK) โดยมหาวิทยาลัยเคนต์ (University of Kent) และมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (University College London : UCL) แถลงผลสำเร็จจากความร่วมมือวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสุขภาพสัตว์ : จากการวิจัยสู่การประยุกต์ใช้” โดยใช้ทุนร่วมกว่า 170 ล้านบาทจากรัฐบาล UK และไทย

โครงการวิจัยดังกล่าวดำเนินงานใน 2 เรื่องใหญ่คือ 1.ชีวเวชภัณฑ์ และวัคซีนสำหรับสัตว์ และ 2.เทคโนโลยีสาหร่ายเซลล์เดียว เพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ และอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และปศุสัตว์ ทั้งในระดับประเทศและอาเซียน

ศาสตราจารย์ ดร.โคลิน โรบินสัน
ศาสตราจารย์ ดร.โคลิน โรบินสัน

“ศาสตราจารย์ ดร.โคลิน โรบินสัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยเคนต์ สหราชอาณาจักร กล่าวว่า ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปศุสัตว์

อีกทั้งปัจจุบันความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารจากอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีการจัดการด้านสุขภาพสัตว์ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรการป้องกันเพื่อรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ รวมถึงการจัดการโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำก็สำคัญ

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของอุตสาหกรรมดังกล่าวในภูมิภาคอาเซียน จึงเล็งเห็นว่าความร่วมมือด้านวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักรจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อปิดช่องว่างทางเทคโนโลยี และสร้างขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาในด้านสุขภาพสัตว์ โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุสำหรับสัตว์

“ศาสตราจารย์ ดร.โคลิน โรบินสัน” กล่าวต่อว่า ความร่วมมือในการวิจัยเรื่องแรกเป็นผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์แล้วคือ เทคโนโลยีสาหร่ายเซลล์เดียวเพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง

ซึ่งในช่วง 10 ปีผ่านมา อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของเชื้อก่อโรคต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต ซึ่งสร้างความสูญเสียมากถึง 60% ของผลผลิตในประเทศ ทั้งยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

“โดยการติดเชื้อไวรัส แม้จะไม่ระบาดรุนแรงเหมือนช่วง 20-30 ปีที่แล้ว แต่ยังก่อให้เกิดความเสียหายยกบ่ออยู่อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยเฉพาะการระบาดของโรคตัวแดงดวงขาว และโรคหัวเหลืองที่ยังมีการรายงานการระบาดอยู่อย่างต่อเนื่องในภาคตะวันออก และภาคใต้ของประเทศไทย

ดังนั้น ไทยและ UK จึงร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการใช้สาหร่ายเซลล์เดียว เพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านโครงการร่วมวิจัย”

ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรม
ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรม

ขณะที่ “ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรม” หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค เปิดเผยว่า ทีมวิจัยพัฒนาระบบที่ใช้เทคโนโลยีการแสดงออกของยีนแบบใหม่ในการผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ (double-stranded RNA ; dsRNA) โดยใช้คลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวแบบไม่มียีนต้านยาปฏิชีวนะปนเปื้อนสำหรับใช้ผสมในอาหารเลี้ยงกุ้ง

จากงานวิจัยที่ผ่านมาทีมวิจัยไบโอเทคทำงานร่วมกับทีมจาก Kent และ UCL โดยสามารถผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ในคลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพยับยั้งไวรัสหัวเหลืองและไวรัสตัวแดงดวงขาว ผ่านการให้ผงสาหร่ายลูกผสมเป็นอาหารเสริมแก่ลูกกุ้ง

ผลวิจัยล่าสุดพบว่า การให้อาหารผสมสาหร่ายเซลล์เดียวลูกผสมช่วยรักษาอัตราการรอดชีวิตของลูกกุ้งขาวจากการติดเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาวถึง 70% โดยเทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในการป้องกันการเกิดโรคไวรัส และโรคที่เกิดจากเชื้อก่อโรคชนิดอื่น ทั้งในประเทศไทย และระดับภูมิภาคอาเซียน

นอกจากนี้ เครือข่ายความร่วมมือดังกล่าวยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงสาหร่ายอาหารเสริมที่ผลิตวัคซีนรีคอมบิแนนต์ เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคให้กับทั้งกุ้งและปลา โดยมีส่วนช่วยในการนำอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทยกลับเข้ามาสู่การเป็นผู้นำการผลิตสัตว์น้ำของโลกอีกครั้งหนึ่ง

ศาสตราจารย์ซอล เพอร์ตัน
ศาสตราจารย์ซอล เพอร์ตัน

“ศาสตราจารย์ซอล เพอร์ตัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน และผู้อำนวยการ Algae-UK กล่าวเสริมว่า โครงการร่วมวิจัยนี้พัฒนาเทคโนโลยีวิศวกรรมซึ่งสามารถทำให้คลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวผลิตสารชีวโมเลกุล

เช่น dsRNA และโปรตีนสำหรับผลิตวัคซีน โดยเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำ ใช้งานง่าย และมีราคาต้นทุนต่ำ โดยทั้งสองกลุ่มทำงานร่วมกับนักวิจัยไบโอเทคในการพัฒนาวัคซีนสัตว์ต้นทุนต่ำ โดยใช้แพลตฟอร์มสาหร่ายเซลล์เดียว เพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปสู่เชิงพาณิชย์

ทั้งนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญที่ผสมผสานกันระหว่างทีมจากสหราชอาณาจักรและทีมจากประเทศไทย การใช้สาหร่ายเซลล์เดียวต้านไวรัสในอาหารสัตว์น้ำเพื่อควบคุมโรค จึงสร้างกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้งเพื่อการผลิตอาหารที่ยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนั้น “ศาสตราจารย์ ดร.โคลิน โรบินสัน” ยังเปิดเผยอีกว่า หนึ่งในความร่วมมือวิจัยระหว่างประเทศคือชีวเวชภัณฑ์ และวัคซีนสำหรับสัตว์ ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพในการผลิตชีวเวชภัณฑ์ และวัคซีนสัตว์สำหรับสัตว์ในประเทศไทย รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการสร้างขีดความสามารถบุคลากรด้านการผลิตชีวเวชภัณฑ์และวัคซีน

โดยข้อมูลปัจจุบันพบว่าอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศไทยมีผู้ประกอบการเกือบ 150,000 ราย ทั้งยังมีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

ดังนั้น “วัคซีนสัตว์” จึงเป็นเครื่องมือจำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคจากไวรัสที่รุนแรงในสัตว์ แต่วัคซีนสำหรับสุกรในประเทศไทยเกือบทั้งหมดพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งราคาแพงและมีประสิทธิภาพน้อยกว่า เนื่องจากสายพันธุ์ของไวรัสในท้องถิ่นนั้นแตกต่างกัน

ฉะนั้น เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ และชีวภัณฑ์ในประเทศไทย และประเทศในอาเซียน การร่วมมือระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรจึงทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการร่วมวิจัยหัวข้อการพัฒนาศักยภาพในการผลิตชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสำหรับสัตว์ในประเทศไทย และประเทศในอาเซียนที่ได้รับทุนวิจัยจำนวน 3.9 ล้านปอนด์ (160 ล้านบาท) จาก The Global Challenges Research Fund (GCRF) สหราชอาณาจักร เป็นระยะเวลา 4.5 ปี (พ.ศ. 2560-2565)

“โครงการวิจัยมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตโปรตีนรีคอมบิแนนต์ในปริมาณและคุณภาพที่จำเป็นสำหรับการใช้ผลิตยาชีววัตถุที่คล้ายคลึง (biosimilar) สำหรับมนุษย์ และวัคซีนและยาชีววัตถุ (vaccine and biotherapeutics) สำหรับสุกรที่มีราคาต้นทุนต่ำ สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง โ

ดยขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ เช่น การพัฒนาเซลล์ที่ผลิตโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าเวชภัณฑ์สามารถผ่านมาตรฐานสากลได้”

ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ
ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ

สำหรับ “ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ” หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค เปิดเผยว่า ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการผลิตต้นแบบของวัคซีนไวรัสเซอร์โคในสุกร ชนิดที่ 2 (PCV2d) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสก่อโรค

ทั้งยังเป็นสาเหตุหลักของกลุ่มอาการทรุดโทรมหลังหย่านมในสุกร โดยใช้การหมักแบคทีเรีย และกระบวนการทำบริสุทธิ์ในขั้นตอนเดียว โดยขยายขนาดได้ถึง 30 ลิตร จนทำให้ผลคงที่ทั้งในห้องปฏิบัติการที่สหราชอาณาจักรและไทย

ผลการทดสอบเบื้องต้นในสุกรพบว่ามีความปลอดภัย และอยู่ระหว่างประเมินประสิทธิภาพความคุ้มโรคในสัตว์ นอกจากนี้ ยังเริ่มงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตอินเตอร์เฟอรอนสุกรจากการหมักยีสต์ลูกผสม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือการจัดการสุขภาพสัตว์ในฟาร์มในอนาคต

เช่น เป็นสารเสริมภูมิคุ้มกัน หรือเป็นยาฉุกเฉินเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัส โดยมีผลการผลิตในระดับห้องปฏิบัติการจากโครงการเป็นที่น่าพอใจ จนได้รับทุนวิจัยต่อยอดเพื่อการผลิตในระดับใหญ่ขึ้น จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในปี 2565

ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ
ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ

ขณะที่ “ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ” นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ และชีวภัณฑ์ในประเทศไทยแล้ว โครงการยังตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมชีววัตถุในประเทศไทย

จึงส่งเสริมการฝึกอบรมตลอดระยะเวลาโครงการ ผ่านการทำวิจัยร่วม ณ หน่วยงานเครือข่าย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นด้านกระบวนการผลิต

“ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก The Royal Academy of Engineering, Newton Fund, สหราชอาณาจักร โดยหลักสูตรอบรมนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมชีววัตถุ เป็นการอบรมแบบภาคปฏิบัติพร้อมกรณีศึกษาให้กับบุคลากรที่ทำงานด้านชีววัตถุจำนวน 270 คน จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่างประเทศมากกว่า 15 แห่ง ในปี 2565”

นับว่าน่าสนใจทีเดียว