“บ้านปู” ปรับตัวสู้วิกฤต ลดเงินเดือนผู้บริหาร-รุกธุรกิจใหม่

สมฤดี ชัยมงคล CEO-บ้านปู
“สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ตามมาด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีก้าวกระโดด (disruption) จึงทำให้หลากหลายธุรกิจได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า รวมถึงธุรกิจพลังงานทั้งในและต่างประเทศ ราคาพลังงานต่างปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบ ล่าสุดยังยืนราคาอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากที่ราคาน้ำมันดิบเคยพุ่งขึ้นไปที่ระดับราคา 50-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก่อนหน้านี้ รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ราคาดิ่งลงแบบน่าใจหายเช่นกัน

ทุกสิ่งล้วนตอกย้ำสถานการณ์เศรษฐกิจให้เลวร้ายลงไปอีก คือ การระบาดของโควิด-19 จนทำให้เศรษฐกิจชะงักไปหลายเดือน และคาดว่าเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกจะซึมยาวไปจนถึงปีหน้า

แม้ว่าปัจจุบันการระบาดของโควิด-19เริ่มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ภาพของระบบเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ ทำให้หลายภาคธุรกิจต้องหาแนวทางประคองกิจการให้อยู่รอด แต่หลายกิจการก็ไม่มีศักยภาพมากพอจนต้องทยอยปิดกิจการ เลิกจ้างแรงงานเกิดขึ้นมากมาย มีหลายองค์กรที่มีการคาดการณ์ว่าคนตกงานจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3-8 ล้านคน

จากภาวะดังกล่าว “สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปูจำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบ้านปู เนื่องจากความต้องการด้านพลังงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนขายลดลง ขณะเดียวกัน ราคาขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็ลดลงตามไปด้วย

ดังนั้นเพื่อรักษาความมั่นคงให้กับองค์กร ในการประชุมคณะบริหารเมื่อเร็ว ๆ นี้ จึงตัดสินใจ “ลดเงินเดือน” เฉพาะผู้บริหารระดับบนที่ 25% ของอัตราเงินเดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม2563 เป็นต้นไป ส่วนพนักงานที่มีตำแหน่งต่ำกว่าระดับผู้อำนวยการไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยผู้บริหารระดับบนต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น จนกว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้น

ทั้งนี้ “สมฤดี” ระบุว่า ก่อนหน้าที่จะพิจารณาใช้แนวทางดังกล่าวได้แจ้งไปยังพนักงานของบ้านปูว่าแม้จะปรับลดเงินเดือนของระดับผู้บริหารลงก็ตามแต่บ้านปู “ไม่มี” นโยบายปรับลดพนักงาน แต่ในทางกลับกันในช่วงที่ผ่านมานั้นได้เปิดรับพนักงานใหม่ประมาณ 70 คน ที่เป็น “คนรุ่นใหม่”เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ในอนาคตที่มีแนวโน้มที่ดีอย่างธุรกิจไฟฟ้า รวมถึง

การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านพลังงานเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ภายใต้บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (Banpu Next) บริษัทในเครือบ้านปูที่ลงทุนเฉพาะด้านพลังงานทดแทนครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้จัดตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา

“ซึ่งเป็นการควบรวม 2 บริษัทในเครือ คือ บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี้ จำกัด บริษัทที่ให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และบริษัท บ้านปู รีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี จำกัด ที่มีธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งธุรกิจพลังงานทดแทนถือเป็นธุรกิจที่จะให้น้ำหนักการลงทุนมากขึ้นตามเทรนด์ของโลก”

“ก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่า บ้านปูมีธุรกิจถ่านหินเท่านั้น แต่ขณะนี้เพิ่มธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาในพอร์ตคือ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ส่วนหนึ่งมาจากเหตุผลที่ว่า บ้านปูมีโปรเจ็กต์โรงไฟฟ้าที่ต้องใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น รวมถึงเมื่อก่อตั้ง บ้านปู เน็กซ์ เข้ามาลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นระบบสมาร์ทกริด รถไฟฟ้า ไปจนถึงเรือไฟฟ้า และเรือท่องเที่ยวทางทะเล เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นธุรกิจใหม่ของบ้านปูที่จะลดความเสี่ยงจากการดำเนินการธุรกิจแค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น”

ขณะเดียวกันสำหรับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม บ้านปูยังดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องไม่มีการปรับลดงบประมาณหรือยกเลิกโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่ โดยเฉพาะการดูแลสังคม ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19ทั้งให้งบประมาณแก่โรงพยาบาลต่าง ๆที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายใต้กองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจสู้โควิด-19 ที่มีงบประมาณรวม 500 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ห้องความดันลบ สำหรับผู้ป่วยหนักและช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยการมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แพทย์และพยาบาล รวมไปจนถึงการดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนที่ต้องตกงานด้วยการมอบถุงยังชีพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2563 ของบ้านปู ขาดทุนอยู่ที่ 78 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 82 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา 31 ล้านเหรียญสหรัฐ

แม้จะเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด แต่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในรอบไตรมาสนี้ รวมถึงการลดลงของปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยของถ่านหิน และก๊าซธรรชาติลดลงตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังสะท้อนถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บ้านปูขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 21 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนรายได้จากการขายรวมอยู่ที่518 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ16,637 ล้านบาท ลดลงจำนวน 213ล้านเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากธุรกิถ่านหินลดลงถึง 192 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้จากธุรกิจก๊าซลดลง 14 ล้านเหรียญสหรัฐและรายได้อื่น ๆ ลดลงประมาณ7 ล้านเหรียญสหรัฐ