“ดิจิทัลเฮลท์แคร์” ข้อมูลสุขภาพที่คนเอเชียต้องการ

อาจเป็นเพราะบริษัท พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย (พรูเด็นเชียล) เผยผลการศึกษาล่าสุดในหัวข้อ “The Pulse of Asia-The Health of Asia Barometer” ซึ่งจัดทำโดย The Economist Intelligence Unit (EIU) หน่วยงานวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจของนิตยสารชั้นนำระดับโลก “The Economist”

โดยเป็นงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์มอบโอกาสให้คนในเอเชียสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

กล่าวกันว่างานวิจัยฉบับนี้ทำการศึกษาด้านทัศนคติของคนที่มีต่อการสาธารณสุขในเอเชีย โดยให้ความสำคัญเรื่องความต้องการด้านเครื่องมือและบริการที่จะช่วยนำทางให้ผู้คนในภูมิภาคนี้สามารถเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยยังให้ความสำคัญในการศึกษาถึงโอกาสสำหรับภาครัฐในด้านความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อพัฒนาศักยภาพของดิจิทัลเฮลท์แคร์ (digital healthcare) อีกด้วย

เนื่องจากการศึกษาฉบับนี้ทำการสำรวจประชากรในวัยที่บรรลุนิติภาวะจำนวน 5,000 รายในตลาดเป้าหมาย 13 แห่งทั่วทั้งทวีปเอเชีย โดยพบว่ามากกว่าครึ่งของผู้ทำแบบสอบถาม (54 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และสามารถชำระค่าใช้จ่ายนั้นได้ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือน้อยกว่า 1 ใน 4 (22 เปอร์เซ็นต์) สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการออกกำลังกายและฟิตเนสง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ในปีใหม่นี้

“นิค นิแคนดรู” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย กล่าวว่า งานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าขณะที่ภูมิภาคเอเชียได้เริ่มเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์แล้วนั้น ขณะเดียวกัน ยังคงต้องหาหนทางที่จะให้คนในภูมิภาคนี้ได้ตระหนักถึงศักยภาพที่แท้จริงว่าเทคโนโลยีสามารถให้อะไรแก่พวกเขาได้ ด้านภาครัฐและเอกชนเองควรทำงานร่วมกันเพื่อทำให้โอกาสเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาให้ได้ นั่นคือการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนทุกคน

Advertisment
นิค นิแคนดรู
นิค นิแคนดรู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย

“การทำให้ดิจิทัลเฮลท์แคร์เป็นจริงขึ้นมาได้นั้นเป็นส่วนสำคัญในความพยายามของพรูเด็นเชียลฯ ซึ่งเราได้ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่น ‘Pulse by Prudential’ ที่เราได้ร่วมกับพันธมิตรของเราในการนำเสนอนวัตกรรมสุดล้ำที่ช่วยให้ข้อมูลและคำแนะนำทางด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากบุคลากรวิชาชีพอีกด้วย โดยเป้าหมายของเราก็เพื่อให้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพที่ดี และมีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม การวิจัยของทั่วภูมิภาคเอเชียนี้ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่ว่านี้ โดย 4 ใน 5 (81 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ทำแบบสำรวจกล่าวว่า เทคโนโลยีได้ช่วยทำให้การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพดียิ่งขึ้น และ 2 ใน 3 (60 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าเทคโนโลยียังช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้อีกด้วย

นับจากนี้ไปอีก 3 ปียังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลด้านสุขภาพจะลดน้อยลงแต่อย่างใด โดย 71 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาจะยิ่งให้ความไว้วางใจกับเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อจะได้มีสุขภาพร่างกายและความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

เพราะจากการสำรวจนั้นพบว่า 88 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยมีการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์เข้ามาช่วยเหลือในการดูแลจัดการสุขภาพส่วนตัว รวมไปถึงอุปกรณ์วัดความดันเลือดสมาร์ทวอตช์ อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่ ซึ่งผลสำรวจนี้นัยว่า ชาวไทยมีความตระหนักด้านสุขภาพและเทคโนโลยีด้านดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของพวกเขา

Advertisment

อย่างไรก็ตาม ราคาของอุปกรณ์ และเรื่องของเวลาในการใช้งาน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้

ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาศักยภาพของดิจิทัลเฮลท์แคร์ไปได้ถึงขีดสุด รายงานของ EIU ฉบับนี้ยังเสนอแนะเกี่ยวกับการเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มากขึ้น โดยแนะนำว่ารัฐบาลควรร่วมมือกับผู้ประกอบการภาคเอกชนในการนำเสนอวิถีทางที่เป็นนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมและจัดการในด้านสุขภาพที่ดี

เพราะในรายงานเน้นให้เห็นถึงโอกาสสำหรับรัฐบาลในการปรับปรุงข้อมูลด้านการสาธารณสุขผ่านช่องทางดิจิทัล โดยจากผลสำรวจพบว่า โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงด้านสุขภาพส่วนบุคคลและข้อมูลในการดูแลสุขภาพที่ดีที่คนเข้าถึงบ่อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม ผู้ทำแบบสอบถามยังเห็นด้วยอีกว่าอย่างไรเสียแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดยังคงเป็นข้อมูลที่ได้จากรัฐบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุข ดังนั้น รัฐบาลสามารถใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพของตนเองให้มีคุณภาพและน่าเชื่อถือที่สุดให้กับประชาชน

นอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ยังได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่ารัฐบาลควรมุ่งไปที่การส่งเสริมเครื่องมือที่เชื่อมต่อด้านสุขภาพ แต่สิ่งเหล่านี้ยังต้องมีการวางรากฐานที่มั่นคงบนหลักธรรมาภิบาลข้อมูลอย่างเคร่งครัดการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจะช่วยให้ข้อมูลด้านสุขภาพถูกรวบรวมเข้าสู่ส่วนกลางอย่างปลอดภัย และยังช่วยเพิ่มความสามารถให้รัฐบาลกำหนดนโยบายและสร้างสาธารณูปโภคทางด้านสาธารณสุขตามที่วางเป้าหมายไว้ได้ดียิ่งขึ้น

“ชาร์ลส รอสส์” บรรณาธิการอำนวยการ หน่วยงานวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ (EIU) The Economist กล่าวเสริมว่า งานวิจัยของเราสะท้อนให้เห็นว่าการทำให้เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่เข้าถึงและราคาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นจะต้องร่วมมือกัน

“สิ่งสำคัญในการทำงานคือเลิกการเก็บข้อมูลแบบ silos ที่มีหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียวสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าวได้และควรสร้างการเชื่อมต่อที่มีความปลอดภัยระหว่างแอปพลิเคชั่นด้านสุขภาพต่าง ๆ เครื่องมือ และบันทึกข้อมูลผู้ป่วยแบบดิจิทัลที่รวมไว้ในส่วนกลาง”

ถึงจะทำให้ข้อมูลของ “ดิจิทัลเฮลท์” ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด