จีดีพี ‘สหรัฐ’ ติดจรวด ลุ้นโตแซงจีนในรอบ 45 ปี

หลายทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าของสหรัฐอเมริกามาก แต่สถิติดังกล่าวอาจถูกทำลายในปี 2021 เนื่องจากสหรัฐสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหลังการระบาดของโควิด-19

โดยนักเศรษฐศาสตร์และสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับอัตราการขยายตัวของตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในปีนี้ อย่าง “โกลด์แมน แซกส์” ที่ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จากเดิมขยายตัว 5.4% มาอยู่ที่ 6.9% ซึ่งถือว่าเป็นการขยายตัวสูงสุดนับจากปี 1984

ขณะที่ “แบงก์ ออฟ อเมริกา” ปรับเพิ่มคาดการณ์จาก 6.0% มาเป็น 6.5% และ “โจเซฟ บรูซูลาส” นักเศรษฐศาสตร์บริษัทคอนซัลต์อาร์เอสเอ็ม จากเดิมที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 5.4% ล่าสุดปรับมาอยู่ที่ 7.2%

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ปัจจัยหลักที่สถาบันการเงินและนักเศรษฐศาสตร์ต่างเพิ่มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐเนื่องจากการอนุมัติ “แพ็กเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส และ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เซ็นรับรองเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งกฎหมายแพ็กเกจฉบับล่าสุดประกอบด้วยการให้เงินประชาชนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน และกองทุนช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ อย่างการต่ออายุโครงการมอบสวัสดิการช่วยเหลือบุคคลว่างงาน, การช่วยเหลือหน่วยงานปกครองท้องถิ่น และการช่วยเหลือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นต้น

นอกจากนี้อีกปัจจัยที่สถาบันการเงินต่างปรับเพิ่มตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเนื่องจากโครงการ “ฉีดวัคซีน” ที่กำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากเว็บไซต์เอาต์เวิลด์อินดาต้า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 รายงานว่า ชาวอเมริกันได้ฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 โดสแล้ว 107 ล้านคน หรือประมาณ 30% ของประชาชนทั้งประเทศ โดยกรมป้องกันโรคติดต่อ (CDC) สหรัฐรายงานว่า มีการฉีดวัคซีนโดยเฉลี่ย 2.39 ล้านโดสต่อวัน

โครงการฉีดวัคซีนโควิดที่รวดเร็วของสหรัฐ รวมถึงอัตราผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ซึ่งลดลงเรื่อย ๆ ทำให้มีโอกาสที่จะเริ่มปลดล็อกดาวน์จนกลับมาเหมือน “สภาวะปกติ” ก่อนโควิดระบาดได้เร็วขึ้น

ขณะที่ “มอร์แกน สแตนลีย์” คาดการณ์ว่า ตอนนี้ประชาชนสหรัฐออมเงินอยู่ถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ และการ “กำจัด” โควิดอย่างรวดเร็ว จะทำให้ประชาชนเริ่มออกมาใช้จ่ายบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังระบุด้วยว่า ช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมามี “ขนาด” เท่ากับช่วงก่อนโรคโควิดระบาด ซึ่ง “มอร์แกน สแตนลีย์” คาดการณ์ว่าจีดีพีประเทศจะขยายตัวถึง 7.3%

โดยตามการคาดการณ์อัตราการขยายตัวจีดีพีสหรัฐของสถาบันการเงินต่าง ๆ ในปีนี้มีความใกล้เคียง “จีน” ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 8% และแซงเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในปีนี้ ซึ่งอยู่ในระดับ “มากกว่า 6%”

หากย้อนกลับไปดูอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของทั้งสองมหาอำนาจเศรษฐกิจ ปีสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกามีอัตราการขยายตัวมากกว่าจีนคือเมื่อปี 1976 หรือ 45 ปีที่แล้ว ตามข้อมูลสถิติของเวิลด์แบงก์ โดยปีที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ใกล้เคียงจีนที่สุดคือเมื่อปี 1999 ช่วง “ดอทคอมบูม” ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.8% ขณะที่เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.7%

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับการฟื้นฟูหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐเมื่อปี 2009 เศรษฐกิจสหรัฐกลับมาขยายตัว 2.6% ในปี 2010 แต่เศรษฐกิจจีนขยายตัวถึง 10.6% ในปีนั้น มากกว่าสหรัฐถึง 4 เท่า

และปีนี้สหรัฐอเมริกาอาจจะกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำการ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก” (The global locomotive) แทนจีนครั้งแรกในรอบ 16 ปี “เกรกอรี่ ดาโก้” นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า สหรัฐจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและจะพาทั้งโลกออกจากวิกฤตโควิดนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของสหรัฐอาจ “พุ่ง” ขึ้นแค่ในปี 2021 เท่านั้น เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังมีโอกาสการขยายตัวที่สูงกว่าสหรัฐซึ่งเศรษฐกิจค่อนข้าง “อิ่มตัว” แล้ว

ถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ที่ปีนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะขยายตัวแซงจีนได้ในรอบ 45 ปี และอาจทำให้คาดการณ์ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) ที่ว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกภายในปี 2028 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ยากขึ้น