การที่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กตัดสินพระราชหฤทัยถอดพระยศพระราชนัดดา 4 พระองค์เพื่อลดขนาดของราชวงศ์นั้น จะเป็นการกำหนดตัวอย่างให้ราชวงศ์อื่น ๆ ดำเนินรอยตามหรือไม่
ความเปราะบางของการกระทำดังกล่าวได้ปรากฏให้เห็นจากการที่ควีนเดนมาร์กได้ตรัสขออภัยที่การถอดพระยศพระราชนัดดาครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจ และ “ปฏิกิริยารุนแรง” จากคนในราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชินีนาถพระชนมพรรษา 82 พรรษา ซึ่งถือเป็นกษัตริย์ผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรปขณะนี้ ทรงยืนยันการตัดสินพระราชหฤทัยของพระองค์ต่อไป โดยชี้ว่านี่คือการกระทำที่จำเป็นเพื่อรับประกันอนาคตของสถาบันกษัตริย์
“นี่หมายความว่าจะต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบาก” พระองค์ตรัส
แม้การตัดสินใจดังกล่าวจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะสำหรับสมาชิกราชวงศ์ผู้ได้รับผลกระทบ แต่ก็เป็นการกระทำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับราชวงศ์อื่นในแถบสแกนดิเนเวีย
ในปี 2019 สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน มีพระราชโองการให้ถอดพระราชนัดดา 5 พระองค์จากการเป็นพระบรมวงศ์ ซึ่งหมายความว่าพระราชนัดดาทั้งห้าจะไม่ได้ดำรงพระยศเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงที่จะต้องออกปฏิบัติพระกรณียกิจต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ รวมทั้งจะไม่ได้รับเงินรายปีที่รัฐบาลจัดถวายจากเงินภาษีของประชาชน
นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้องกับกระแสเรียกร้องของคนสวีเดนบางส่วนที่ฝักใฝ่การปกครองแบบสาธารณรัฐ และไม่ต้องการให้รางชวงศ์มีสมาชิกจำนวนมากที่ได้รับเงินจากภาษีประชาชน
ราชวงศ์นั้นไม่ต่างจากครอบครัวทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปตามกาลเวลา ครอบครัวเปรียบเสมือนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกมาเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
ดังนั้นการดูแลรักษาราชวงศ์จึงอาจเป็นเหมือนการตัดแต่งกิ่งต้นไม้ในสวน และในหลายครั้งก็จะต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกที่จะกำหนดว่าผู้ใดควรมีพระยศในราชวงศ์บ้าง
การลดขนาดราชวงศ์เดนมาร์กครั้งนี้อาจดำเนินไปตามความคิดเห็นของสาธารณชน โดยที่กว่า 3 ใน 4 ของประชาชนบอกว่าให้การสนับสนุนราชวงศ์
เดนมาร์กยังเป็นประเทศที่มีการจัดสรรงบประมาณจากภาษีประชาชน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ปีละประมาณ 11 ล้านปอนด์ (ราว 462 ล้านบาท) ไปเป็นค่าใช้จ่ายของสมเด็จพระราชินีนาถ ค่าดูแลพระราชวัง และข้าราชบริพารของพระองค์ โดยให้สัมพันธ์กับดัชนีรายได้ของลูกจ้างภาครัฐ
นี่อาจเป็นตัวอย่างให้แก่ราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงคุ้นเคยกับข้อเรียกร้องให้ลดขนาดราชวงศ์มายาวนาน
แม้จะไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็มีการตีความว่าจะเป็นแผนที่จำกัดวงเฉพาะพระบรมวงศ์กลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณถึงเป้าหมายในการประหยัดงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายกับราชวงศ์
อันที่จริง แผนลดขนาดราชวงศ์อังกฤษอาจเกิดขึ้นไปโดยปริยายแล้วจากกรณีอื้อฉาวที่ทำให้เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก ทรงต้องยุติบทบาทการทรงงานในฐานะสมาชิกราชวงศ์ รวมถึงการที่เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และพระชายา ประกาศถอนตัวจากการเป็นพระบรมวงศ์ เนื่องจากมีพระประสงค์ที่จะ “ทำงานเลี้ยงชีพตัวเองเพื่อให้มีอิสระทางการเงิน”
ปัจจุบันสำนักพระราชวังบักกิงแฮมใช้คำว่า “สมาชิกราชวงศ์ที่ทรงงาน” เพื่อเรียกพระบรมวงศ์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ออกปฏิบัติราชกิจอย่างเป็นทางการ เช่น การเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎร การร่วมพิธีการต่าง ๆ ตลอดจนภารกิจตามรัฐธรรมนูญ
สมาชิกกลุ่มนี้มีอาทิ กษัตริย์ชาร์ลส์, สมเด็จพระราชินี, วิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และแคทเธอรีน พระชายา, เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี, เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ และโซฟี พระชายา, เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนต์, รวมทั้งดยุคและดัชเชสแห่งกลอสเตอร์
เมื่อปีที่แล้ว สมาชิกราชวงศ์ทรงปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นทางการ 2,300 งาน โดยที่เจ้าหญิงแอนน์คือผู้ทรงงานมากที่สุด คือเกือบ 400 งานในห้วงเวลา 365 วัน
ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อช่วงต้นปีนี้ก็จะสังเกตเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสมาชิกราชวงศ์ที่ทรงงานกับผู้ที่ไม่ได้มีหน้าที่ปฏิบัติราชกิจจากการเสด็จออกสีหบัญชรพระราชวังบักกิงแฮม
ในตอนนั้น เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา ตลอดจนเจ้าชายแอนดรูว์ไม่ได้ทรงเข้าร่วมด้วย มีสมาชิกคนสำคัญเพียง 18 พระองค์ที่เสด็จออกสีหบัญชร ซึ่งถือว่าน้อยกว่าในอดีตที่เคยมีสมาชิกราชวงศ์เข้าร่วมกว่า 40 พระองค์
ในขณะที่รัชสมัยของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่ก็น่าจะมีคำถามว่าพระองค์จะปรับโฉมสถาบันกษัตริย์ และการดำเนินงานของราชสำนักอย่างไรบ้าง
เรื่องสำคัญคือขนาดของราชวงศ์จะมีผลต่อค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชน
ราชวงศ์อังกฤษได้รับการถวายเงินปีละครั้งจากรัฐบาล ซึ่งเรียกว่า เงินปีส่วนพระมหากษัตริย์ (Sovereign Grant) โดยการถวายเงินปีขึ้นอยู่กับผลกำไรของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (Crown Estate) ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงเป็นเจ้าของ แต่มีคณะผู้บริหารที่แยกเป็นอิสระ
เมื่อปีที่แล้ว เงินปีที่ราชวงศ์ได้รับอยู่ที่ 86 ล้านปอนด์ (ราว 3,612 ล้านบาท) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายให้สมาชิกราชวงศ์ปฏิบัติราชกาจอย่างเป็นทางการ ตลอดจนเป็นค่าจ้างเหล่าข้าราชบริพาร และค่าดูแลพระราชวังที่ประทับต่าง ๆ นอกจากนี้เมื่อปีที่แล้วยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการบูรณะพระราชวังบักกิงแฮม ทำให้มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 102 ล้านปอนด์ (ราว 4,284 ล้านบาท)
เจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งปัจจุบันคือเจ้าชายวิลเลียมทรงมีรายได้จากสำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์แห่งคอร์นวอลล์ (Duchy of Cornwall) และจากสำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์แห่งแลงคาสเตอร์ (Duchy of Lancaster)
นอกจากเรื่องการลดขนาดราชวงศ์แล้ว อีกประเด็นที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือการลดจำนวนพระราชวังและอาคารสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของราชวงศ์ ที่ต้องใช้เงินมหาศาลในการดูแลรักษา ยกตัวอย่างพระราชวังบักกิงแฮมที่ใช้เงินในการบูรณะและตกแต่งใหม่เมื่อปีที่แล้วปีเดียวไปถึง 54 ล้านปอนด์ (ราว 2,268 ล้านบาท) ซึ่งเกินครึ่งของงบประมาณทั้งหมดที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงอาจประเมินอนาคตของราชวงศ์อังกฤษได้จากกระแสความนิยมของพระองค์ที่เพิ่มขึ้น โดยผลสำรวจของสำนักจัดทำโพล YouGov เมื่อเดือนก่อนพบว่า 70% ของประชาชนในสหราชอาณาจักรมีมุมมองที่ดีต่อพระองค์ เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงต้นปีนี้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์
แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนบางส่วนที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไป โดยแม้ว่าการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าราว 2 ใน 3 ของประชาชนทุกวัยจะสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ แต่ก็พบว่ามีคนวัย 18-24 ปีไม่ถึงครึ่งที่ให้การสนับสนุนแบบเดียวกัน
ที่ผ่านมาสถาบันกษัตริย์ทั่วโลกต่างพยายามปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดเสมอมา ดังเช่นที่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงชี้แจงถึงแผนการลดขนาดราชวงศ์ครั้งนี้ว่า พระองค์ “ทรงต้องทำให้แน่ใจว่า สถาบันกษัตริย์จะปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยอยู่เสมอ”
……
ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว