ในอดีต ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจลุ้นผลการจับสลากได้ตัวเลขหลักเดียวเป็นหมายเลขผู้สมัคร เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างภาพจำและสื่อสารกับประชาชนผ่าน 10 นิ้วมือของตัวเอง
แต่ปัจจุบัน ด้วยจำนวนพรรคการเมืองที่มากขึ้น ทำให้หลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครที่จับได้ตัวเลข 2 หลัก ทว่านั่นไม่ใช่อุปสรรคเดียวในการรณรงค์หาเสียงของพวกเขา ซึ่งนอกจากต้องเก็บคะแนนเสียงให้ตัวเองแล้ว ยังต้องช่วยเก็บคะแนนเข้าพรรค แต่เบอร์คนกับพรรคดันไม่ใช่หมายเลขเดียวกันด้วย
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
ในการเลือกตั้ง 2566 จะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรก เลือก ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) จำนวน 100 คน และอีกใบ เลือก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน แม้อยู่พรรคเดียวกัน แต่ผู้สมัครต่างคนก็ต่างหมายเลข
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566
ต่อมาเมื่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยตัวอย่างบัตรเลือกตั้ง ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่มีเพียงเบอร์ผู้สมัคร ไม่มีโลโก้พรรค และชื่อพรรค หรือที่เรียกว่า “บัตรโหล” ได้ก่อเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากบรรดานักเลือกตั้ง บ้างก็ว่า “สร้างความยุ่งยาก ซับซ้อน ทำให้เกิดบัตรเสียง่าย” บ้างก็ว่า “เป็นเงื่อนไขทำให้มีการสลับสับเปลี่ยน เปิดช่องทุจริตได้”
อย่างไรก็ตาม นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ยืนยันว่า เป็นรูปแบบบัตรมาตรฐานที่ใช้จัดการเลือกตั้งในไทยทุกครั้งที่ผ่านมา ยกเว้นในปี 2562 และเชื่อว่าการนำบัตรโหลมาใช้เลือก ส.ส.เขต ช่วย “ประหยัดงบประมาณ” และ “เป็นการป้องกันบัตรเสียอันเกิดจากความสับสน”
ภายใต้กติกาใหม่ และบัตรเลือกตั้งรูปแบบเก่าที่นำกลับมาใช้ใหม่ แต่ละพรรควางกลยุทธ์การสื่อสารเบอร์ผู้สมัครกับประชาชนเอาไว้อย่างไร
ก้าวไกล : ไม่ติดเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ที่ป้ายหาเสียง
คำสำคัญที่ทั้งแกนนำพรรค ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ต้องนำไปสื่อสารกับประชาชนคือ “กาก้าวไกลทั้ง 2 บัตร”
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ในระหว่างรณรงค์หาเสียงในพื้นที่ต่าง ๆ จะให้ผู้สมัคร ส.ส.เขตเน้นย้ำเบอร์ของตัวเองเท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน และเน้นสร้างการจดจำหมายเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.เขต เป็นหลัก เนื่องจากในบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต มีเฉพาะหมายเลขผู้สมัคร ไม่มีโลโก้และชื่อพรรค
เมื่อถึงวันเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง 14 พ.ค. หากใครไม่แน่ใจว่าต้องกาเบอร์อะไรกันแน่ ก็ให้ไปดูหมายเลขผู้สมัครได้ที่กระดานหน้าหน่วยเลือกตั้ง จะเห็นว่าภาพผู้สมัคร ส.ส.เขตของก้าวไกลทุกคนใช้ฉากหลังเป็นสีส้มเหมือนกัน พอเห็นสีส้ม ดูเบอร์ เข้าไปกาก้าวไกล นี่เป็นสิ่งที่เราคิดและเตรียมเอาไว้
“ก้าวไกลจะไม่เน้นประชาสัมพันธ์เบอร์พรรคเลย นี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) เราจะไม่ติดเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ที่ป้ายหาเสียง จะมีแต่ป้ายหาเสียงของ ส.ส.เขตเท่านั้นที่ติดเบอร์ลงไป เพราะถึงเวลาเข้าคูหา ในบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มันมีชื่อพรรคและโลโก้อยู่แล้ว ถ้าคนจำได้ว่า ‘กาก้าวไกลทั้ง 2 บัตร’ เขาเห็นโลโก้ในบัตรเลือกตั้ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าต้องกาเบอร์อะไร” พิจารณ์กล่าว
เพื่อไทย : “สร้างความแตกต่างในแบบฉบับเดียวกัน”
พรรคเพื่อไทย (พท.) นำกลยุทธ์ “สร้างความแตกต่างใน pattern (แบบฉบับ) เดียวกัน” มาใช้ในการสื่อสารกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ
ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส. แต่ละระบบ แต่ละเขตเลือกตั้ง มีหมายเลขแตกต่างกัน “เป็นอุปสรรค ถ้าเราไม่ละเอียด ก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้ ดังนั้นโจทย์ของเราคือต้องสื่อสารแล้ว ทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติของประชาชน”
ป้ายรณรงค์หาเสียงของ พท. ที่ออกมาในล็อตแรก ก่อนจับสลากได้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เม.ย. และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 4 เม.ย. เป็นการสื่อสารให้ประชาชนรับรู้นโยบายของพรรค และตัวบุคคล แม้มีการคุมโทนตามสีประจำพรรค แต่ก็ยังมีความหลากหลาย
แต่หลังได้หมายผู้สมัครครบทุกคน-ทุกเขต พท. ภูมิธรรมบอกว่า จะมีการเปลี่ยนแบบป้ายเพื่อสร้างภาพจำให้รู้ถึงเบอร์ที่ต่างกัน
เขายกตัวอย่างว่า หากเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต อาจสวมเสื้อสีขาว/เสื้อแจ็กเก็ตสีขาวของพรรค แต่ถ้าเป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หรือแคนดิเดตนายกฯ อาจสวมสูท หรือถ้าเป็นป้ายปาร์ตี้ลิสต์ อาจมีเฉพาะรูปแคนดิเดตนายกฯ และนำเสนอนโยบายของพรรค
“เราต้องสร้างความแตกต่างในแบบฉบับเดียวกัน ไม่อย่างนั้น จะเกิดความสับสนมาก” รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวและเสริมว่า พท. มีทีมครีเอทีฟมาช่วยคิดเรื่องการใช้สี รูปแบบการวางภาพ และตัวหนังสือ ไว้หมดแล้ว
รทสช.-ชพก. แบ่งป้าย “คนละครึ่ง” เขต-ปาร์ตี้ลิสต์
บีบีซีไทยสำรวจป้ายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่ติดอยู่ด้านข้างรถแห่ของผู้สมัคร ส.ส.กทม. จากพรรคการเมืองต่าง ๆ โดยถือเป็น “สาร” ตัวแรก ๆ ที่พวกเขาจะสื่อถึงประชาชน ภายหลังเสร็จสิ้นการจับสลากหมายเลขผู้สมัคร ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (3 เม.ย.)
รถแห่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) จัดวางรูปแบบป้ายหาเสียงใกล้เคียงกัน โดยด้านซ้าย มีภาพผู้สมัคร ส.ส.เขต และทีมงานกำลังเตรียมติดเบอร์ผู้สมัครที่เพิ่งจับสลากได้แบบสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนแห่ไปรอบกรุง ส่วนด้านขวา กันไว้เป็นพื้นที่หัวหน้าพรรค/แคนดิเดตนายฯ ในบัญชีของพรรค พร้อมเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งยังเว้นว่างไว้ รอการสมัครและจับหมายเลขผู้สมัครในวันที่ 4 เม.ย.
ส่วนรถแห่ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีภาพหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีม กทม. ปรากฏในป้ายหาเสียงผู้สมัคร ส.ส.เขต พร้อมใบหน้าผู้สมัคร ทว่า ภท. เลือกแสดงเฉพาะเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เท่านั้น
กกต. ยืนยันใช้บัตรมาตรฐาน ป้องกันบัตรเสีย
ในขณะที่พรรคการเมืองในฐานะ “ผู้เล่น” ต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารกับประชาชน เพื่อแก้เกม “บัตร 2 ใบ ต่างเบอร์” กกต. ในฐานะ “ผู้คุมกฎ” ได้ออกมายืนยันว่า เป็นรูปแบบบัตรมาตรฐานที่ใช้จัดการเลือกตั้งในไทยทุกครั้งที่ผ่านมา
นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาเมื่อ 1 เม.ย. สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
บัตรมาตรฐานแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง : ไม่มีรายชื่อผู้สมัคร มีเฉพาะหมายเลขผู้สมัคร หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “บัตรโหล” ซึ่งเลขาธิการ กกต. ระบุว่า “ทุกการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในประเทศไทย ใช้บัตรเลือกตั้งแบบนี้มาโดยตลอด”
บัตรมาตรฐานแบบบัญชีรายชื่อ : มีเฉพาะหมายเลขผู้สมัคร, สัญลักษณ์/เครื่องหมายพรรค และชื่อพรรคการเมือง เริ่มใช้บัตรเลือกตั้งรูปแบบนี้ในการเลือกตั้งปี 2544 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้แต่รัฐธรรมนูญ 2540 (กำหนดให้มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็นครั้งแรก) ซึ่งเลขาธิการ กกต. ระบุว่า “ทุกการเลือกตั้งใช้บัตรนี้มาตลอด”
อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งหนล่าสุดเมื่อปี 2562 ที่เกิดขึ้นภายใต้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม กกต. ได้นำ “บัตรเลือกตั้งแบบเฉพาะ” มาใช้ โดยผสมระหว่างบัตรแบบแบ่งเขตกับแบบบัญชีรายชื่อไว้ด้วยกันในใบเดียว และมี 350 แบบ ตามจำนวนเขตเลือกตั้ง ในบัตรมีข้อมูล 3 ส่วน ได้แก่ หมายเลขผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง, สัญลักษณ์/เครื่องหมายพรรค และชื่อพรรคการเมือง และไม่มีชื่อของผู้สมัคร ส.ส.เขต ในบัตรแต่อย่างใด
เลขาธิการ กกต. ยังชี้ให้เห็น 3 ข้อดีของบัตรมาตรฐานแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
- มีความชัดเจนแตกต่างจากบัตรแบบบัญชีรายชื่อ ทั้งสี และองค์ประกอบภายในบัตร ทำให้ประชาชนสังเกตเห็นได้ชัดเจน ไม่สับสน เพราะบัตรประเภทหนึ่งมีเพียงหมายเลข ไม่มีตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ ต่างจากบัตรอีกประเภทหนึ่งที่มีครบทั้ง 3 อย่าง “เป็นการป้องกันบัตรเสียอันเกิดจากความสับสนลักษณะนี้อีกทางหนึ่งด้วย”
- ประหยัดงบประมาณเป็นจำนวนมาก เพราะบัตรมาตรฐานพิมพ์พร้อมกันในครั้งเดียว แต่บัตรแบบเฉพาะเขต ต้องสั่งพิมพ์ 400 ครั้ง ตามจำนวนเขต
- สะดวกในการบริหารจัดการ และใช้เวลาอันมีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากที่ต้องมาทำงานธุรการ อาทิ การส่งให้ตรงกับเขต กรณีเป็นแบบเฉพาะ ถ้าส่งผิดเขตจะใช้แทนกันไม่ได้ การพิมพ์บัตรสำรองในแต่ละเขต ก็ต้องมีสำรองครบตามจำนวนเขต เพราะใช้แทนกันไม่ได้ หรือปัญหาทางเทคนิคอื่น ๆหมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว