คู่มือชมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 ฉบับสมบูรณ์

BBC

ผู้คนนับล้านทั่วสหราชอาณาจักรและทั่วโลก กำลังเฝ้ารอที่จะได้ชมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์อังกฤษพระองค์ใหม่ สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 ซึ่งจะมีขึ้นที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในวันเสาร์ที่ 6 พ.ค. ที่จะถึงนี้

ในพระราชพิธีดังกล่าว สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จะทรงได้รับการสวมพระมหามงกุฎพร้อมกัน โดยกษัตริย์พระองค์ใหม่นั้นถือเป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษลำดับที่ 40 ที่ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ใจกลางกรุงลอนดอน นับตั้งแต่ปี 1066 เป็นต้นมา

พีธีกรรมต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในวันสำคัญดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมโบราณที่ถือปฏิบัติกันมาโดยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ตลอดระยะเวลากว่า 1,000 ปีในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งหมายกำหนดการตามเวลามาตรฐานอังกฤษ (BST) มีดังต่อไปนี้

การเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น ด้วยการเคลื่อนขบวนเสด็จจากพระราชวังบักกิงแฮมไปยังมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ในช่วงเวลาก่อน 11.00 น. เล็กน้อย แต่จะเปิดพื้นที่เฝ้าชมขบวนเสด็จสองข้างทางให้ประชาชนได้เข้าจับจองตั้งแต่เช้าตรู่ราว 6.00 น.

ผู้ที่มาก่อน จะได้เข้าถึงพื้นที่ริมถนนเดอะมอลล์และถนนไวต์ฮอลล์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน ส่วนคนที่มาทีหลังในตอนที่บริเวณเฝ้าชมขบวนเสด็จสองข้างทางเต็มแล้วนั้น จะได้รับการจัดสรรที่นั่งเพื่อชมการถ่ายทอดสดจากจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ในสวนสาธารณะไฮด์พาร์ก, กรีนพาร์ก, และสวนหลวงเซนต์เจมส์

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมอัฒจันทร์สำหรับเฝ้าชมขบวนเสด็จ ให้กับแขกพิเศษ 200 คน ที่ด้านหน้าพระราชวังบักกิงแฮมอีกด้วย โดยแขกรับเชิญเหล่านี้ได้แก่เหล่าทหารผ่านศึก รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและนักสังคมสงเคราะห์ที่ได้รับคัดเลือกจากสำนักพระราชวัง

ขบวนเสด็จใช้กำลังทหารเพียงไม่ถึง 200 นายจากทุกเหล่าทัพ เพื่อถวายการอารักขา โดยส่วนใหญ่เป็นกองทหารม้ารักษาพระองค์ (Household Cavalry) ซึ่งจะมาประจำการแต่เช้าตรู่ที่พระราชวังบักกิงแฮม เพื่อเตรียมเข้าร่วมขบวนเสด็จไปยังมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์

สำหรับการรักษาความปลอดภัยโดยรวมนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ 1,000 คน ประจำการที่สองข้างทางซึ่งขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน แต่ขบวนเสด็จในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้จะมีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าปี 1953 ตอนที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงขึ้นครองราชย์อย่างมาก โดยในครั้งนั้นมีบรรดาพระราชวงศ์ต่างประเทศและนายกรัฐมนตรีของรัฐในเครือจักรภพเข้าร่วมขบวนเสด็จด้วย

เริ่มเคลื่อนขบวนเสด็จ

ขบวนจะเคลื่อนออกจากพระราชวังบักกิงแฮมไปตามถนนเดอะมอลล์ สู่จัตุรัสทราฟัลการ์ ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนไวต์ฮอลล์และถนนรัฐสภาตามลำดับ จากนั้นจะเข้าสู่จัตุรัสรัฐสภาและอาคาร Broad Sanctuary เพื่อไปยังประตูใหญ่ทิศตะวันตกของมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์

ในการนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จะเสด็จไปยังมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ด้วยราชรถพัชราภิเษก ซึ่งทำขึ้นใหม่เมื่อราวสิบปีก่อน โดยทรงยกเลิกการใช้ราชรถทองคำตามธรรมเนียมดั้งเดิม เนื่องจากเป็นพระราชพาหนะรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยสะดวกสบายนัก

ขบวนเสด็จถึงมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์

คาดว่า ขบวนจะไปถึงสถานที่ประกอบพระราชพิธีก่อน 11.00 น. เล็กน้อย โดยสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 อาจเลือกทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของบุรุษแบบโบราณ ซึ่งเป็นชุดที่สวมกางเกงสั้นเหนือเข่าและสวมถุงน่อง ตามแบบอย่างของกษัตริย์ในอดีต

Getty Images

Getty Images
สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 อาจทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ต่างจากพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอัยกา ซึ่งทรงฉลองพระองค์ของบุรุษแบบโบราณ

สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 จะเสด็จเข้าสู่ด้านในของมหาวิหาร โดยทรงพระดำเนินผ่านประตูใหญ่ทิศตะวันตก จนเข้าถึงโถงใหญ่และบริเวณศูนย์กลางของมหาวิหาร

พิธีจะเริ่มขึ้นในเวลา 11.00 น. ด้วยการบรรเลงดนตรี ซึ่งกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงเลือกสรรมาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังโปรดให้มีการประพันธ์เพลงขึ้นใหม่ถึง 12 เพลงด้วย ซึ่งรวมถึงผลงานของแอนดรูว์ ลอยด์ เวบเบอร์ และดนตรีแบบกรีกออร์โธดอกซ์เพื่อรำลึกถึงเจ้าชายฟิลิป พระราชบิดา

เจ้าชายจอร์จ พระราชนัดดา จะทรงเป็นหนึ่งในหมู่เด็กชายเด็กหญิงผู้ทำหน้าที่เชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ร่วมกับพระนัดดาของสมเด็จพระราชินีคามิลลา 5 คน ได้แก่โลลา, เอไลซา, กุส, ลูอีส์, และเฟรดดี โดยขบวนของเด็ก ๆ เหล่านี้จะเดินนำหน้ากษัตริย์ภายในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เพื่อนำสิ่งของสำหรับการประกอบพระราชพิธีไปวางไว้บนแท่นบูชาสูง

เครื่องราชกกุธภัณฑ์คืออะไร

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรเป็นประเทศเดียวในแถบยุโรป ที่ยังคงมีการใช้งานเครื่องราชกกุธภัณฑ์หรือสิ่งของอันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นกษัตริย์ อย่างเช่นพระมหามงกุฎ ลูกโลกประดับกางเขน และพระคทา ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่

เครื่องราชกกุธภัณฑ์แต่ละชิ้น ถือเป็นเครื่องหมายแทนบทบาทหน้าที่ในแต่ละด้านของพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างกันออกไป โดยจะมีการถวายลูกโลก, พระคทากางเขน, พระคทานกพิราบ, และสิ่งของอื่น ๆ ในขั้นตอนสำคัญของพิธีราชาภิเษก ส่วนสมเด็จพระราชินีคามิลลานั้น จะทรงได้รับพระคทากางเขนและพระคทานกพิราบสำหรับราชินีอังกฤษเช่นกัน

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นประกอบไปด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งใช้เวลารวมกันทั้งหมดไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ขั้นตอนที่ 1 : รับรองฐานะความเป็นกษัตริย์

จะมีการประกาศแนะนำพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ต่อปวงชน ตามธรรมเนียมเก่าแก่ซึ่งนับย้อนไปได้ถึงยุคแองโกล-แซ็กซอน โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรีจะยืนอยู่หน้าบัลลังก์ราชาภิเษกอายุ 700 ปี ก่อนจะหันไปทางทิศต่าง ๆ ของมหาวิหาร พร้อมป่าวประกาศว่าสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 คือ “กษัตริย์พระองค์ใหม่ของพวกเรา อย่างไม่ต้องสงสัย” จากนั้นจะขอให้ผู้เข้าร่วมพระราชพิธีถวายความเคารพ และกล่าวถวายความจงรักภักดี

ผู้เข้าร่วมพระราชพิธีจะเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงปกปักรักษาพระราชา” โดยจะมีการเป่าแตรหลังการกล่าวถวายความจงรักภักดีทุกครั้ง

สำหรับบัลลังก์ราชาภิเษก หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าพระราชอาสน์เซนต์เอ็ดเวิร์ดนั้น เชื่อกันว่าเป็นเครื่องเรือนอายุเก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักรที่ยังถูกใช้งานตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมอยู่ โดยมีกษัตริย์อังกฤษถึง 26 พระองค์ ที่ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกบนบัลลังก์นี้

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 โปรดให้สร้างพระราชอาสน์เซนต์เอ็ดเวิร์ดขึ้นในช่วงยุคกลาง เพื่อใช้บรรจุ “ศิลาแห่งชะตาลิขิต” ซึ่งเป็นพระแท่นศิลาราชาภิเษกของกษัตริย์สกอตแลนด์ที่ทรงนำมาจากนครหลวงเก่าของชาวสกอต หลังทรงชนะศึกพิชิตดินแดนทางเหนือได้สำเร็จ

รัฐบาลอังกฤษได้ส่งคืนศิลาแห่งชะตาลิขิตให้กับทางการสกอตแลนด์ไปเมื่อปี 1996 แต่มันจะถูกนำกลับมายังกรุงลอนดอนเป็นการชั่วคราว เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในครั้งนี้

บัลลังก์ราชาภิเษกที่ทำจากไม้โอ๊กจะถูกนำไปวางไว้ตรงศูนย์กลางของมหาวิหาร บริเวณหน้าแท่นบูชาสูงเหนือพื้นฝังหินประดับแบบคอสมาติ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะโบราณอันเลื่องชื่อ สื่อแสดงถึงความสำคัญยิ่งยวดทางศาสนาของพิธีกรรมนี้

ขั้นตอนที่ 2 : ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ

อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรี นักบวชผู้มีสมณศักดิ์สูงสุดของศาสนจักรอังกฤษ จะขอให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เพื่อยืนยันว่าจะทรงพิทักษ์รักษากฎหมายของแผ่นดินและศาสนจักรอังกฤษ โดยจะทรงวางพระหัตถ์ลงบนพระคัมภีร์ไบเบิลระหว่างตรัสคำปฏิญาณดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ทรงปฏิบัติตาม

คาดว่าสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 อาจจะมีพระราชดำรัสเพิ่มเติมเป็นพิเศษในการนี้ เพื่อทรงแสดงการอุปถัมภ์รับรองศาสนาและความเชื่ออื่น ๆ ที่มีผู้นับถือกันในสหราชอาณาจักรด้วย แต่พระราชดำรัสนี้จะไม่รวมอยู่ในคำสัตย์ปฏิญาณที่เป็นทางการข้างต้น

ขั้นตอนที่ 3 : เจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์

ฉลองพระองค์คลุมและฉลองพระองค์ชั้นนอกที่เป็นชุดพิธีการจะถูกถอดออก จากนั้นกษัตริย์พระองค์ใหม่จะประทับบนบัลลังก์ราชาภิเษกเพื่อทรงรับการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงถึงสถานะผู้นำทางจิตวิญญาณและความเป็นองค์ประมุขสูงสุดของศาสนาจักรอังกฤษ

อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรีจะเทน้ำมันออกจากขวดอินทรีทองคำ โดยเทลงบนฉลองพระหัตถ์ช้อนราชาภิเษก ก่อนจะเจิมน้ำมันดังกล่าวเป็นเครื่องหมายกางเขนบนพระนลาฏ (หน้าผาก) พระอุระ (หน้าอก) และที่พระหัตถ์ทั้งสองข้าง

ขวดบรรจุน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นั้นทำขึ้นสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยเลียนแบบของเก่าและคติความเชื่อจากตำนานของนักบุญโทมัส แบ็กเค็ต ในศตวรรษที่ 12 ซึ่งระบุว่าพระแม่มารีได้ปรากฏพระองค์ต่อหน้านักบุญผู้นี้และประทานอินทรีทองคำให้ โดยทำนายว่ากษัตริย์อังกฤษในอนาคตจะทรงได้รับการเจิมด้วยอินทรีทองคำนี้

ส่วนฉลองพระหัตถ์ช้อนราชาภิเษกนั้น มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่าขวดอินทรีทองคำมาก ทั้งยังเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่รอดจากการถูกทำลายโดยนายโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ผู้โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในยุคสงครามกลางเมืองของอังกฤษ

น้ำมันศักดิ์สิทธิ์นั้นมีการผลิตขึ้นเพื่อพระราชพิธีในครั้งนี้เป็นพิเศษ โดยสกัดจากผลมะกอกที่ปลูกในป่าสองแห่งบนภูเขา Mount of Olives ในนครเยรูซาเลม ทั้งยังผ่านพิธีปลุกเสกในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสุสานของพระเยซูอีกด้วย

ในระหว่างการเจิมน้ำมันนี้ เจ้าหน้าที่จะใช้ผ้าคลุมเป็นเพดานและม่านกั้นรอบบัลลังก์ราชาภิเษก เพื่อปิดบังสายตาของสามัญชนไม่ให้มองเห็นพิธีกรรมดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เนื่องจากเป็นพิธีกรรมส่วนพระองค์ระหว่างกษัตริย์กับพระผู้เป็นเจ้า

ขั้นตอนที่ 4 : สวมพระมหามงกุฎ

เมื่อเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนเครื่องทรงเรียบร้อยแล้ว พระราชพิธีได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสำคัญอันเป็นหัวใจของราชาภิเษกหรือการสถาปนาแต่งตั้งพระราชา โดยนักบวชจะถวายการสวมหรือวางพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดลงบนพระเศียรของกษัตริย์ ซึ่งตลอดพระชนมชีพพระองค์จะได้ทรงพระมหามงกุฎนี้เพียงครั้งเดียว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น

พระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดนั้น ได้รับการขนานนามตามชื่อของกษัตริย์ยุคแองโกล-แซ็กซอน คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “นักบุญเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพบาป” (Edward the Confessor) เชื่อกันว่ามีการใช้พระมหามงกุฎนี้ในพิธีราชาภิเษกมาจนถึงปี 1220 ก่อนที่จะถูกทำลายไปในยุคสงครามกลางเมือง

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 โปรดให้ทำพระมหามงกุฎนี้ขึ้นใหม่โดยเลียนแบบของเดิม แต่มีการประดับตกแต่งเพิ่มเติมให้หรูหราอลังการยิ่งขึ้น

สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 จะเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 7 ที่ได้ทรงพระมหามงกุฎนี้ต่อจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2, พระเจ้าเจมส์ที่ 2, พระเจ้าวิลเลียมที่ 3, พระเจ้าจอร์จที่ 5, พระเจ้าจอร์จที่ 6, และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนการสวมพระมหามงกุฎ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอเบอรีจะถวายลูกโลกประดับกางเขน, พระธำมรงค์ประจำองค์พระมหากษัตริย์, พระคทากางเขน, และพระคทานกพิราบ แล้วจึงถวายการสวมพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดได้ในที่สุด โดยจะมีการเป่าแตรและยิงสลุตทั่วสหราชอาณาจักรอย่างพร้อมเพรียงกัน

จะมีการยิงสลุต 62 นัด จากหอคอยแห่งลอนดอน และอีก 6 นัด จากลานสวนสนามของกองทหารม้ารักษาพระองค์ นอกจากนี้จะมีการยิงสลุต 21 นัด จากสถานที่อีก 11 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร รวมถึงที่เอดินบะระ, คาร์ดิฟฟ์, เบลฟาสต์, และจากเรือหลวงที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทร

ขั้นตอนที่ 5 : เสด็จขึ้นครองราชย์

ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ กษัตริย์พระองค์ใหม่จะเสด็จขึ้นประทับบนพระราชอาสน์อันเป็นสัญลักษณ์ของการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ โดยในอดีตบรรดานักบวชและขุนนางอาจนำพระองค์ไปประทับยังพระราชอาสน์ด้วยวิธีอุ้มหรือยกพระวรกายไป

ตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้ว ในขั้นตอนนี้เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางจะพากันต่อแถวยาว เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายความเคารพ โดยพวกเขาจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ กล่าวถวายความจงรักภักดี ก่อนจะจุมพิตที่พระหัตถ์ขวา

อย่างไรก็ตาม คาดว่าครั้งนี้พิธีการจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเจ้าชายวิลเลียมจะเป็นพระราชวงศ์ที่มีฐานันดรชั้นดยุคเพียงพระองค์เดียว ที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายความเคารพต่อสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3

พระราชพิธีสำหรับสมเด็จพระราชินี

หลังจากพิธีการข้างต้นเสร็จสิ้นลงแล้ว จะมีการประกอบพระราชพิธีอภิเษกหรือการสถาปนาแต่งตั้งสมเด็จพระราชินี โดยนักบวชจะเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพระอัครมเหสี และถวายการสวมพระมหามงกุฎควีนแมรี โดยดำเนินพิธีการขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเรียบง่ายกว่า ทั้งไม่ทรงต้องกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตามแบบของกษัตริย์

พระมหามงกุฎควีนแมรีนั้น เดิมทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมเด็จพระราชินีแมรีในพระเจ้าจอร์จที่ 5 แต่ขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงโดยนำวงโค้งบางส่วนออก รวมทั้งติดตั้งเพชรคัลลิแนน 3 เม็ด ซึ่งล้วนเป็นเพชรที่ตัดแบ่งมาจากโคตรเพชรใหญ่ที่สุดในโลก

เสด็จกลับพระราชวังบักกิงแฮม

จากนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์เพื่อไปยังโบสถ์น้อยเซนต์เอ็ดเวิร์ดภายในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เพื่อผลัดเปลี่ยนพระมหามงกุฎที่ทรงอยู่ จากพระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดมาเป็นพระมหามงกุฎอิมพีเรียล ก่อนเสด็จออกจากมหาวิหารเพื่อทรงเข้าร่วมขบวนที่เตรียมเคลื่อนกลับไปยังพระราชวังบักกิงแฮม โดยจะมีการบรรเลงเพลงชาติของสหราชอาณาจักรในช่วงเวลาดังกล่าว

ขบวนเสด็จจะเคลื่อนกลับไปตามเส้นทางเดิม แต่คราวนี้ราชรถที่ประทับจะใช้ราชรถทองคำอายุเก่าแก่ 260 ปี ซึ่งเป็นราชรถที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาตั้งแต่เริ่มต้นรัชสมัยของพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 เมื่อปี 1831

มีรายงานว่าเจ้าชายแห่งเวลส์และพระชายา รวมทั้งพระโอรสและพระธิดาคือเจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ และเจ้าชายลูอีส์ จะทรงเข้าร่วมในขบวนเสด็จขากลับนี้ด้วย โดยประทับในราชรถที่แล่นตามหลังราชรถทองคำ

กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักรระบุว่า ได้ใช้กำลังทหารเกือบ 4,000 นายจากทุกเหล่าทัพ เพื่อเข้าร่วมใน “ปฏิบัติการเชิงพิธีการ” ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในชั่วอายุคนรุ่นหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการสวนสนามและถวายการอารักขาตลอดเส้นทางเสด็จกลับพระราชวังบักกิงแฮม

ผู้แทนจากรัฐในเครือจักรภพและดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษจะเข้าร่วมในขบวนเสด็จขากลับนี้ด้วย ส่วนที่จัตุรัสรัฐสภาจะมีแถวของราชองครักษ์กิตติมศักดิ์ที่เป็นทหารผ่านศึก 100 คน เฝ้าถวายการอารักขาขบวนเสด็จขณะเคลื่อนผ่านจุดดังกล่าว

เมื่อขบวนเสด็จกลับถึงพระราชวังบักกิงแฮม กษัตริย์และราชินีพระองค์ใหม่จะทรงได้รับการวันทยาหัตถ์ถวายความเคารพและมีการเปล่งเสียงถวายพระพร 3 ครั้ง จากกองทหารที่เข้าร่วมการสวนสนาม

เส้นทางของขบวนเสด็จนี้คิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 2.29 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าสั้นกว่าเส้นทางเมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในปี 1953 โดยในครั้งนั้นเส้นทางยาวไกลกว่า 6.5 กิโลเมตร และใช้เวลาถึง 45 นาที เพื่อเคลื่อนขบวนทั้งหมดผ่านจุดใดจุดหนึ่ง

กองทัพจัดฝูงบินถวายพระเกียรติ

นับตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ในปี 1902 การเสด็จออกสีหบัญชร ณ พระราชวังบักกิงแฮม หลังเสร็จสิ้นการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นธรรมเนียมที่พระราชวงศ์อังกฤษทรงยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด โดยเป็นโอกาสที่จะได้ทรงพบปะทักทายเหล่าพสกนิกร ซึ่งมารวมตัวกันที่ถนนเดอะมอลล์ด้านหน้าพระราชวังบักกิงแฮม

ในปี 1953 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จออกสีหบัญชรหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี (ควีนมัม), พระขนิษฐา, พระราชโอรส, พระราชธิดา, และพระราชวงศ์พระองค์อื่น ๆ เพื่อทอดพระเนตรการบินถวายพระเกียรติจากฝูงบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะบินผ่านเหนือพระราชวังบักกิงแฮม

สำหรับในครั้งนี้สำนักพระราชวังบักกิงแฮมได้แถลงยืนยันแล้วว่า สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จะเสด็จออกสีหบัญชรตามราชประเพณีที่เคยมีมา แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดบ้างที่จะได้โดยเสด็จออกสีหบัญชรในครั้งนี้

จากนั้นฝูงเครื่องบินรบจากทุกเหล่าทัพจะบินผ่านเหนือพระราชวังบักกิงแฮม โดยใช้เวลาทำการบินถวายพระเกียรติ 6 นาที ปิดท้ายด้วยการแสดงของฝูงบินผาดแผลงแห่งกองทัพอากาศที่ได้รับฉายาว่า “ลูกศรสีแดง” (The Red Arrows) ซึ่งเป็นสัญญาณสิ้นสุดการเฉลิมฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 6 พ.ค. 2023

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว