SMEs ภาคอสังหาฯไทย กับ Thailand Smart City

smart living
คอลัมน์ : Smart SMEs
ผู้เขียน : ดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีฯได้มีโอกาสพา SMEs ในภาคอสังหาฯที่เป็นลูกค้าของธนาคารเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับ smart living ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบเกี่ยวกับ smart city โดยเฉพาะเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและการจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงนวัตกรรมในการสร้างบ้านที่เน้นความปลอดภัย สะดวกสบาย และประหยัดพลังงาน

อีกทั้ง SMEs ยังได้รับฟังบรรยายพิเศษเกี่ยวกับ แนวคิดการพัฒนาและบริหารธุรกิจเพื่อการสร้างความยั่งยืน รักษาสมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยผู้เชี่ยวชาญจาก MUFG ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารกรุงศรีฯอีกด้วย

เห็นได้ว่าในประเทศที่เจริญแล้ว ล้วนให้ความสำคัญกับการสร้างเมืองตามแนวคิด smart city อันหมายถึง เมืองอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพของบริการต่าง ๆ ในเมือง โดยใน smart city จะมีการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น เซ็นเซอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ internet of things หรือ IOT ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

เพื่อรวมระบบและบริการต่าง ๆ เข้าด้วยกันให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งสามารถเพิ่มความยั่งยืน ลดต้นทุน ปรับปรุงการให้บริการ และที่สำคัญคือ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนพลเมือง สู่เป้าหมายในการสร้างสังคมและเมืองที่มีความเป็นอยู่ที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนในทุก ๆ ด้าน

ซึ่งการพัฒนาเมืองสู่ความเป็น smart city นั้นล้วนเป็นผลดีกับทุกภาคส่วนในสังคม รวมถึง SMEs เองที่ก็จะได้ประโยชน์และเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญในการร่วมสร้าง smart city ให้เกิดขึ้น โดย SMEs ไทยที่เป็น startup หรือ SMEs ไทยจำนวนมากที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ เช่น วิศวกรรม การพัฒนาซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น และการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ สามารถพัฒนาโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายในการสร้างเมืองอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการ SMEs สามารถพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงานใหม่ ๆ ระบบขนส่งอัจฉริยะและโซลูชั่นการจัดการขยะอัจฉริยะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง smart city ให้เกิดขึ้น ผ่านโครงการที่อยู่อาศัยที่มีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การประหยัดพลังงาน การเชื่อมต่อ IOT กับอุปกรณ์ภายในบ้าน การออกแบบโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน มีการใช้ระบบการจัดการอาคารอัจฉริยะ : เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ปรับปรุงความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่าย ระบบเหล่านี้ยังสามารถให้ข้อมูลและการวิเคราะห์ตามเวลาจริงเพื่อช่วยให้ผู้จัดการทรัพย์สินสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการดำเนินงานและการบำรุงรักษาอาคาร

นอกจากนี้ บริษัทอสังหาฯสามารถใช้เทคโนโลยี IOT เพื่อเชื่อมต่อผู้อยู่อาศัยและผู้เช่า กับบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกในท้องถิ่นและชุมชนที่เชื่อมต่อกัน เช่น บริการขนส่งสาธารณะ บริการดูแลสุขภาพ และความบันเทิง สิ่งเหล่านี้จะมอบโอกาสใหม่ในการสร้างรายได้ให้กับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ขณะเดียวกันบริษัทอสังหาฯสามารถใช้วัสดุก่อสร้างและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งนี้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้เช่าและนักลงทุนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ซึ่งโดยรวมแล้ว บริษัทอสังหาฯต่าง ๆ สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้เช่า ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมในเมืองที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการพัฒนาในส่วนของภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ก็จะเป็นตัวช่วยเร่งสร้างความเป็น smart city ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยได้ในที่สุด