คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
นับตั้งแต่ กรมปศุสัตว์ ออกประกาศ “ยอมรับ” ว่า ประเทศไทยได้เกิดการระบาดของ โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African Swine Fever : ASF) ในต้นเดือนมกราคม 2565 ปรากฏว่าหลังจากนั้น ไทยก็ต้องเผชิญกับปัญหาการนำเข้า “หมูเถื่อน” ที่มีการลักลอบนำเข้ามาอย่างทะลักทลายตราบจนถึงปัจจุบันเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเนื้อหมูที่เพิ่มมากขึ้นของประเทศ
จากข้อเท็จจริงที่ว่า โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดในประเทศในช่วงต้นปี 2565 แต่โรคนี้ได้ระบาดมาแล้วที่แหล่งเลี้ยงหมูสำคัญในพื้นที่ภาคกลางไม่ต่ำกว่า 2 ปี ท่ามกลางการล้มตายของหมูเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้วงจรการเลี้ยงหมูขาดช่วงลง เนื่องจากในช่วงนั้นไม่มีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายใด “เสี่ยง” ที่จะลงเลี้ยงหมูรอบใหม่ ราคาหมูชำแหละในประเทศถีบตัวขึ้นสูง เนื่องจากผลผลิตหมูภายในประเทศลดลง แม่หมูหายไปกว่าครึ่ง ประกอบกับช่วงวงจรหมูที่ขาดช่วงลงจะต้องรอการเลี้ยงรอบใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
โดยปริมาณการเลี้ยงหมูที่หายไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากฟาร์มรายเล็กรายกลางทั่วประเทศที่ต้องเผชิญกับการระบาดของโรค ASF ได้กลายเป็นโอกาสสำคัญให้ “กระบวนการ” ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนขยายปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากที่มีการจับกุมการลักลอบทางเรือและด่านชายแดนที่ภาคใต้ กลับกลายเป็นการลอบนำเข้าอย่างมโหฬารแทบจะทุกทิศทุกทาง โดยมีการรวมศูนย์กันอยู่ที่ ท่าเรือแหลมฉบัง ปากประตูของการนำเข้าสินค้าของประเทศ และกระจายไปยัง “ห้องเย็น” ในจังหวัดหลัก ๆ ของแต่ละภูมิภาค
มีสถิติการจับกุมเฉพาะต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งที่สั่งทำลายไปแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และอยู่ระหว่างดำเนินคดีเกือบ 1 ล้านกิโลกรัม จากการตรวจสอบพบว่า หมูเถื่อนเหล่านี้ถูกบรรจุกล่อง มีต้นทางมาจากประเทศบราซิล เยอรมนี และอิตาลี มีทั้งเครื่องในหมูและหมูชำแหละเนื้อแดงแช่เย็นแช่แข็ง
หมูเถื่อนหรือหมูกล่องที่ลักลอบนำเข้ามา นอกจากจะสร้างผลกระทบให้กับราคาหมูเป็น ณ หน้าฟาร์ม มีราคาตกต่ำลงเหลือ กก.ละ 70-75 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนแล้ว ทว่าราคาหมูเนื้อแดงชำแหละ ณ หน้าเขียงในตลาดสด กลับไม่ได้ลดราคาลงมา แต่ยังยืนอยู่ประมาณ กก.ละ 180-200 บาท
มิหนำซ้ำหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามายังเสี่ยงต่อการนำโรค ASF และสารเร่งเนื้อแดงซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง จึงควรที่หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องทั้ง กรมปศุสัตว์ และกรมศุลกากร จะต้องเร่งกวาดล้างกระบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มีบุคลากร-เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุจริต เนื่องจากปริมาณหมูเถื่อนมีมากมายมหาศาลที่ตรวจจับกุมได้กว่า 1 ล้าน กก. เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
