หันหางเสือ ส่งออกไทย รุกตลาดพระรองใน 3 ภูมิภาค

ส่งออกไทย
คอลัมน์ : Next Normal
ผู้เขียน : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร EXIM BANK

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่ทันไรก็เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2566 กันแล้ว ดูเหมือนปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ส่งออกไทย แม้ล่าสุดตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคม 2566 จะออกมา Surprise ตลาดอยู่บ้าง

โดยสามารถกลับมาขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 11 เดือนที่ 2.6% แต่หากดูการส่งออกภาพรวมในช่วง 8 เดือนแรกก็ยังหดตัว 4.5% ทำให้หลายฝ่ายคาดว่ามีโอกาสสูงที่การส่งออกทั้งปีจะหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี หรือดีที่สุดก็แค่เสมอตัว

แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ใช่ว่าทุกตลาดส่งออกของไทยจะหดตัวเหมือนกันทั้งหมด ยังมีอีกหลายตลาดที่สามารถขยายตัวได้สวนทางกับการส่งออกรวม อย่างเช่นตลาดตะวันออกกลางที่ผมเคยชี้โอกาสไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ วันนี้ผมเลยจะขอชวนท่านผู้อ่านมา ทำความรู้จักกับอีก “3 ตลาดพระรอง” ที่ซ่อนตัวอยู่และยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง ดังนี้

– ยุโรปตะวันออก ภูมิภาคนี้ไม่เพียงมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม แต่ยังมีความน่าสนใจในเชิงเศรษฐกิจอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น GDP ของประเทศส่วนใหญ่ที่โตเฉลี่ยเกิน 3% ในอีก 5 ปีข้างหน้า อาทิ โปแลนด์ ฮังการี โรมาเนีย บัลแกเรีย เป็นต้น มากกว่าสหภาพยุโรป (EU) ที่โตเพียง 1.8%

โดยจุดเด่นของประเทศเหล่านี้คือ การวาง Position ตัวเองเป็น Factory of Europe จากค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่อเดือนที่ไม่เกิน $1,500 ต่ำกว่า EU ที่ $2,450 ประกอบกับบางประเทศก็มีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำเพียง 10% อาทิ ฮังการี บัลแกเรีย มาซิโดเนีย ทำให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดหลายบริษัทในยุโรปตะวันตกและภูมิภาคอื่น ๆ ให้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาต่อเนื่อง

โดยเฉพาะหลัง BREXIT และ COVID-19 เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี และบรรเทาผลกระทบจาก Supply Chain Disruption สังเกตได้จาก FDI Inflow ที่ไหลเข้ายุโรปตะวันออกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาโตกว่า 10% ต่อปี สูงกว่า FDI โลกที่โตเพียง 1%

– อเมริกากลาง เรียกได้ว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงมีพื้นที่ใกล้กัน แต่เศรษฐกิจหลายประเทศยังเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออกอันดับ 1 อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของรายได้ส่งกลับของประชากรในประเทศเหล่านี้ ทำให้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดี เศรษฐกิจประเทศเหล่านี้ก็จะดีตามไปด้วย

ล่าสุด Fed ก็ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2566 จาก 1.0% เป็น 2.1% และปรับลดอัตราว่างงานลงจาก 4.1% เหลือ 3.8% ทำให้ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ Recession ในระยะอันใกล้นี้แทบไม่มี

นอกจากนี้ อเมริกากลางยังเป็นฐานการผลิตของสหรัฐฯ ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสิ่งทอและยานยนต์ โดยได้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกันทั้ง USMCA (สหรัฐฯ เม็กซิโก แคนาดา) และ CAFTA-DR (6 ประเทศอเมริกากลางกับสหรัฐฯ)

เพื่อผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ล่าสุด Tesla ก็กำลังสร้าง Gigafactory นอกสหรัฐฯ แห่งที่ 3 ในเม็กซิโก ไม่เพียงเท่านี้ ประเทศอเมริกากลางอื่น ๆ อาทิ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของโลกทั้งอ้อย กล้วย กาแฟ โกโก้ ก็ยังได้ประโยชน์จากราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า Double Digits

– เอเชียกลาง ประกอบด้วย 5 ประเทศที่เพิ่งแยกตัวจากสหภาพโซเวียตในปี 2534 ได้แก่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชื่อของคาซัคสถานก็สะดุดตาผมเข้าอย่างจัง หลังเป็นเพียง 1 ใน 2 ประเทศร่วมกับจีนที่ไทยอนุมัติ Free Visa ให้ จุดประกายให้ผมหาข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ทั้งเศรษฐกิจประเทศส่วนใหญ่ที่โตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี

และมีถึง 2 ประเทศ คือ คาซัคสถานและเติร์กเมนิสถานที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงไล่เลี่ยกับรัสเซีย และกำลังจะก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูง (>$13,205 ต่อปี) ในอีกไม่ถึง 3 ปีข้างหน้า

โดยจุดแข็งของประเทศกลุ่มนี้ที่ผมสังเกตเห็นคือ การเป็น Energy Supplier เบอร์ต้น ๆ ของโลก ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและแร่สำคัญอื่น ๆ

โดยเฉพาะยูเรเนียมที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ นอกจากนี้ หลายประเทศยังมีความได้เปรียบจาก Strategic Location ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเอเชียกับยุโรป ทำให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative ของจีนที่จะมีการสร้างทางรถไฟเชื่อม 2 ทวีป ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสน่ห์และหนุนเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มนี้ในระยะถัดไป