ผลกระทบยาแรง ‘ธปท.’ สั่งแบงก์ ‘งดจ่ายปันผล-งดซื้อหุ้นคืน’

แบงก์ชาติ ธปท. ค่าเงินบาท กนง.
คอลัมน์ ดุลยธารรม
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

แม้จะเห็นด้วยและสนับสนุนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้สถาบันการเงินงดจ่ายเงินปันผล และห้ามไม่ให้ซื้อหุ้นคืน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 เพราะมาตรการดังกล่าวช่วยให้ความเข้มแข็งของฐานเงินทุน และสภาพคล่องของสถาบันการเงินดีขึ้น เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและปัญหาหนี้เสียของภาคการเงินในอนาคต โดยผู้ถือหุ้นจำเป็นต้องเสียสละผลประโยชน์เพื่อให้ระบบการเงินและสถาบันการเงินมีความเข้มแข็งฝ่าวิกฤตไปได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินปันผลที่ดีและส่งผลดีต่อมูลหุ้นของสถาบันการเงินในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ขอสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไข และขอเตือนด้วยความเคารพว่า มาตรการดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และกลายเป็นปฏิกิริยาทางลบต่อตลาดการเงินมากเกินคาดการณ์ได้ โดยเฉพาะการตื่นตระหนก เพราะทำให้เกิดข้อสงสัยว่า หนี้เสียในระบบอาจมีมากกว่าที่ประกาศไว้มาก และอาจเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดหลังออกมาตรการนักลงทุนอาจสูญเสียความมั่นใจเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์ออกมาก กระทบต่อตลาดการเงินในภาพรวม ส่งผลต่อ wealth effect ของนักลงทุนในทางลบ ทำให้เศรษฐกิจหดตัวมากกว่าเดิมได้

มาตรการงดจ่ายเงินปันผลก็ดี มาตรการห้ามไม่ให้ซื้อหุ้นคืนก็ดี หรือการตั้งอัตราเงินสดสำรองไว้ในอัตราที่สูงก็ดี มีเป้าหมายเพื่อให้ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงรองรับหนี้เสีย และปัญหาการชะลอตัวเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้ แต่ประเมินว่าการดำเนินนโยบายหรือมาตรการดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบคิดอนุรักษนิยมทางการเงิน อาจไม่สอดรับกับสถานการณ์ และจะทำให้มีการปล่อยสินเชื่อน้อยลงเพราะกลัว NPL

ตามข้อมูลงานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลกประมาณ 30 แห่งจ่ายเงินปันผล และใช้เงินซื้อหุ้นคืนไม่ต่ำกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 7.752 ล้านล้านบาท ขนาดของเม็ดเงินประมาณครึ่งหนึ่งของจีดีพีของไทยทั้งประเทศ ในปีนี้บางประเทศมีมาตรการไม่ให้จ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืน เงินจะหายไปจากระบบอยู่พอสมควร

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของหลายประเทศทำ stress test สถาบันการเงินในประเทศตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจไม่ให้จ่ายเงินปันผล การทดสอบฐานะทางการเงินของแบงก์จะช่วยวิเคราะห์เชิงปริมาณได้ว่า หากจ่ายเงินปันผลหรือซื้อหุ้นคืนไปแล้ว ธนาคารแห่งใดยังคงมีฐานะของเงินทุนรับมือกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ และหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำ stress test แล้ว ก่อนตัดสินใจออกมาตรการงดจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืน

Advertisment

ความจริงแล้ว มีอีกทางเลือกหนึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อให้สถาบันการเงินมีฐานทุนเข้มแข็งรองรับการพุ่งขึ้นของหนี้เสียในอนาคต คือ การปล่อยให้คณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ ที่ประชุมผู้ถือหุ้น ตัดสินใจกันเอง หรือให้สมาคมธนาคารไทยหารือแล้วออกมาตรการแบบสมัครใจ (ไม่ต้องบังคับ) ว่า ทุกธนาคารจะงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีนี้ ธนาคารควรจ่ายเงินปันผลหรือรับซื้อหุ้นคืนหรือไม่ ก็เป็นเรื่องความสมัครใจเอง ภาวะตื่นตระหนกจะน้อยกว่ามาก

โดยแบงก์ชาติทำหน้าที่เพียงปล่อยปริมาณเงินเข้ามาในระบบให้มากพอ แล้วไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์ บางประเทศใช้มาตรการแบบที่ ธปท.ประกาศ เพราะเห็นว่า ฐานเงินทุนที่เข้มแข็ง สภาพคล่องที่เพียงพอ มีความจำเป็นต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ในอนาคต รวมทั้งเพื่อรองรับหนี้เสียในอนาคต แต่การตัดสินในระดับจุลภาค จะจ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายเงินปันผล จะซื้อหุ้นคืนหรือไม่ ควรเป็นเรื่องเอกชนตัดสินใจเอง

สิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาในระบบให้มากเป็นพิเศษ การแทรกแซงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าโดยไม่ต้องดูดซับเงินบาทกลับ ขณะเดียวกันนโยบายการเงินที่ต้องทำควบคู่กันไปกับมาตรการสั่งแบงก์พาณิชย์งดจ่ายเงินปันผล คือ ลดอัตราดอกเบี้ยให้เหลือ 0% หรือใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบหากจำเป็น และทำ unsterilized FX open market intervention เน้นไปดูมาตรการมหภาค มากกว่ามาตรการจุลภาค ซึ่งส่งผลบวกในการดูแลเศรษฐกิจมากกว่า

ที่สำคัญ ต้องแก้ปัญหาผู้ขอสินเชื่อรายย่อยที่มีฐานะทางการเงินไม่ดี ถูกปฏิเสธเงินกู้จากธนาคาร เนื่องจากมีการกำหนดเพดานดอกเบี้ย ทำให้ไม่สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้ตามความเสี่ยงของลูกค้า คนจำนวนหนึ่งต้องหันไปหาเงินกู้นอกระบบซึ่งดอกเบี้ยสูงกว่ามาก นำไปสู่กับดักความเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกเอาเปรียบ และไม่สามารถตรวจสอบและกำกับดูแลได้เท่ากับสินเชื่อในระบบ

Advertisment

การปล่อยให้สถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า โดยต้องเปิดเสรีทางการเงินเพิ่มเติมให้เกิดการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก จะช่วยให้สถาบันการเงินไม่สามารถคิดดอกเบี้ยสูงเกินไปอันเป็นการเอาเปรียบลูกค้าได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ธปท.ประสบความสำเร็จในการลดอำนาจผูกขาดในระบบสถาบันการเงินได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้องเพิ่มขึ้นอีกเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและภาคธุรกิจ ให้เกิดความสมดุลไม่นำไปสู่การแข่งขันมากเกินพอดี จนเกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโดยรวม