สัมผัสผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือส่งตรงจากชุมชน ในงาน “ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน” โครงการ “ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ปีที่ 7” ภายใต้แนวคิด “Nature’s Diversity” เกาะติดเทรนด์แฟชั่น สวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ในงาน “Sustainability Expo 2023” ถึง 8 ตุลาคมนี้ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
วันที่ 4 ตุลาคม 2566 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา และภาคเอกชน จัดงาน “ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน” จากโครงการ “ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ปีที่ 7”
- ปิดโรงงานยอดเพิ่มเท่าตัว จับตาธุรกิจรถมือสองเสี่ยง
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 2 พ.ค. 2567
- ร้อนแล้งทุบพืชเกษตรพัง ราคาแพง-ผลผลิตวูบ ยุติส่งออก
โดยในปี 2566 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Nature’s Diversity” ภายในงาน “Sustainability Expo 2023” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน-8 ตุลาคม 2566
เพื่อสื่อให้เห็นว่าผ้าขาวม้าสามารถใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย และเป็นการนำเสนอความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนให้มีพื้นที่จัดแสดงโชว์ผลงาน แลกเปลี่ยนแนวความคิด และสร้างเครือข่ายการดำเนินงานร่วมกันของชุมชน
ปีที่ 7 ต่อยอดหัตถกรรมพื้นบ้านสู่ความยั่งยืน
จากจุดเริ่มต้นของโครงการในปี 2559 โดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมี “นายฐาปน สิริวัฒนภักดี” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะกรรมการ โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าขาวม้าทอมือ และช่วยเพิ่มรายได้ตลอดจนพัฒนาทักษะอาชีพให้กับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทั่วประเทศ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า งานผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน ครั้งนี้นับเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว
ในปีนี้มีความพิเศษกว่าปีก่อน ๆ โดยกิจกรรมของเราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงาน “Sustainability Expo 2023” (SX 2023) ซึ่งเป็นมหกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก”
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย และผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน คือการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของผ้าขาวม้าในเชิงศิลปวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เฟ้นหาอัตลักษณ์ของผ้าขาวม้าจากชุมชนต่าง ๆ และเสริมสร้างผ้าขาวม้าทอมือให้มีความโดดเด่น พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าให้มีความหลากหลายและตรงต่อความต้องการของตลาด
เพื่อสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) ที่มีคุณค่าจากฝีมือของมนุษย์ อาทิ การนำเส้นใยและสีธรรมชาติมาใช้กับการย้อมผ้าขาวม้า
นอกจากนี้ยังเป็นการรวมพลังคนรุ่นใหม่ของ “Creative Young Designer” ในการสร้างสรรค์ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือกับกลุ่มนักศึกษา เพื่อร่วมกันออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึก ของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัยแล้ว
พร้อมทั้งพัฒนาด้านการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย และเพิ่มศักยภาพการผลิต รวมทั้งต่อยอดทางธุรกิจให้แก่ชุมชนผ้าขาวม้า ซึ่งชุมชนจะได้รับผลิตภัณฑ์ต้นแบบนำไปต่อยอดด้านการตลาด ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจในชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้
คนรุ่นใหม่เชื่อมโยงชุมชน ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่น
นายฐาปนกล่าวอีกว่า รู้สึกยินดีและตื่นเต้นที่ได้เห็นนิสิตนักศึกษาซึ่งได้สร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการที่ทอผ้าขาวม้าในระดับชุมชน ได้ช่วยกันค้นคิดให้เกิดความแตกต่าง แต่ยังคงอัตลักษณ์ผ้าขาวม้าของแต่ละท้องถิ่นไว้
นิสิตนักศึกษาหลายคนอาจเคยเห็นถึงอัตลักษณ์ ความเป็นมา และคุ้นเคยกับภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาตั้งแต่เด็ก แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจ ไม่ได้มีโอกาสนำมาประยุกต์หรือพัฒนาให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกันไป
“ผ้าขาวม้าทอใจ จึงเป็นการถักทอใจของนิสิตนักศึกษาทุกคนในการเข้าไปอยู่ร่วม และสรรค์สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับพี่น้องในชุมชน”
คุณแม่ คุณป้า หรือคนในชุมชนที่ได้ถักทอเรื่องราวต่าง ๆ ให้ออกมาเป็นผ้าขาวม้าจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งที่สำคัญคือเมื่อลูกหลานหรือเด็กเล็กในชุมชนเห็นว่ามีคนเข้ามาสนใจเรื่องราวจากพื้นที่ของเขา เขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้น
สำหรับเรื่องแฟชั่น ลายผ้าขาวม้าก็ไม่ได้มีแค่คนไทยเท่านั้น แต่ในสังคมโลกยังมีประเทศและแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมายที่เลือกใช้ลายเช่นนี้ เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่าผ้าขาวม้าเท่านั้น อย่างที่สกอตแลนด์ถึงกับระบุลายและสีผ้าให้เป็นไปตามหมู่บ้านเพื่อสื่อถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
ผ้าขาวม้า 1 ผืนแม้มีทั้งสีสังเคราะห์และสีจากธรรมชาติ แต่สีธรรมชาติสามารถสร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากชุมชนได้ เช่น ต้นไม้ประจำจังหวัดก็ให้สีที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้สีธรรมชาติยังหมายถึงการรณรงค์ให้คนหันมาปลูกพื้นที่สีเขียวมากขึ้น
แม้สีย้อมที่มาจากธรรมชาติจะแตกต่างไปจากผ้าที่มาจากอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมก็ยังจำเป็นต้องมีเพื่อการแข่งขัน แต่ฝีมือระดับหัตถกรรมชุมชนก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โครงการนี้จะสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งนิสิตนักศึกษาที่ให้ความสนใจและเห็นถึงโอกาสในการสร้างการรับรู้ การทำมาค้าขาย ที่จะให้ผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อที่จะให้ผู้ผลิตจากชุมชนสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเลี้ยงชีพของเขาได้อย่างยั่งยืนต่อไป นายฐาปนกล่าว
สร้างรายได้สู่ชุมชนกว่า 235 ล้านบาท
โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ้าขาวม้าทอมือ จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 235 ล้านบาท โดยประสบความสำเร็จใน 5 มิติหลัก ดังนี้
- การสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ้าขาวม้าทอมือ
- การสร้างเครือข่ายภาควิชาการและภาคเอกชนที่พร้อมสนับสนุนชุมชนในการสั่งซื้อ ให้ความรู้เชิงธุรกิจ และการออกแบบ
- การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน
- การสานต่องานผลิตและแปรรูปผ้าขาวม้าสู่คนรุ่นใหม่
- การสร้างห่วงโซ่การผลิตผ้าขาวม้าทอมือที่เข้มแข็ง มีความเกื้อกูลกันระหว่างชุมชน นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายความร่วมมือ จากจุดเริ่มต้นเพียง 2 ชุมชน 2 มหาวิทยาลัย ในปี 2562 ไปสู่ 18 ชุมชน 16 สถาบันการศึกษา
ทั้งนี้ภายในงาน Sustainability Expo 2023 ได้มีการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดผ้าขาวม้าจากโครงการ Creative Young Designers Season 3 ออกสู่สายตาประชาชน, การจัดแสดงนิทรรศการโซน Cultural Heritage, โซนจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้าของ 16 มหาวิทยาลัย 18 ชุมชน, กิจกรรม Talk หัวข้อ ผ้าขาวม้า มรดกภูมิปัญญาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน, โซน Market Place ของ 12 ชุมชน และโซนกิจกรรม Online บอกต่อความประทับใจ ถ่ายภาพและแชร์พร้อมบรรยายเชิญชวนเพื่อนมาเที่ยวงานผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน
สัมผัสผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าที่ส่งตรงจากร้อยเอ็ด ลำปาง อุบลราชธานี สุโขทัย เชียงใหม่ ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี หนองบัวลำภู บึงกาฬ ได้ในโซน Sustainable Marketplace ชั้น LG โซน B-Sufficient Living และการจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าจากสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ในชั้น G โซน Foyer A ถึงวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ในงาน Sustainability Expo 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.