เปิดเคล็ดลับ “เต้า เต๋อ จิง” ความจริง 24 ข้อ บริหารคนต้องมององค์รวม อย่ามองแค่เสี้ยวเดียว

ซีอีโอ MFEC “ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” แชร์วิธีบริหารคนแบบ “เต้า เต๋อ จิง” มีเคล็ดลับความจริง 24 ข้อ ต้องมององค์รวม อย่ามองแค่เสี้ยวเดียว

วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ได้กล่าวถึงวิธีการบริหารคนตามแบบ “เต้า เต๋อ จิง” มีทั้งหมด 24 ข้อ ในงานเสวนาของ How of Wisdom ที่โรงแรมโซ แบงคอก ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจนักบริหารคนรุ่นใหม่ ได้แชร์ต่อ ๆ กัน ดังนี้

  1. องค์กรที่สมดุล ต้องมีทั้งธาตุหยินและธาตุหยาง”
    – คนธาตุหยิน : เป็นประเภทคนใจดี เข้าใจคน เน้นความสัมพันธ์มากกว่าผลงาน
    – คนธาตุหยาง : เป็นประเภทกล้าตั้งคำถาม กล้า Push กล้าตัดคนที่ไม่ใช่ เน้นผลงานมากกว่าความสัมพันธ์

2. “ถ้าทั้งองค์กรมีแต่คนธาตุหยิน…บริษัทจะไม่โต แต่ถ้าองค์กรมีแต่คนธาตุหยาง…บริษัทก็ไปไม่รอด” ถ้าหัวหน้าเป็นคนใจดี ลูกทีมต้องเน้นผลงาน แต่ถ้าหัวหน้าทีมเป็นคนเน้นแต่ผลงาน ให้เอาคนที่เน้นความสัมพันธ์เข้าทีมมาบ้าง

3. ”สิ่งที่เราเรียน และสิ่งที่เราอ่านอาจไม่ได้เป็นจริงทั้งหมด“ เช่นหนังสือของฝั่งตะวันตก จะสอนให้ผู้นำ เน้นเรื่องความสัมพันธ์ เข้าใจมนุษย์ เพราะคนตะวันตกส่วนใหญ่ เน้นผลงานมากกว่าสร้างความสัมพันธ์ แต่คนไทยเน้นความสัมพันธ์มากกว่าผลงานอยู่แล้ว พอเอาเรื่องความสัมพันธ์มาเติมอีก ก็จะยิ่งไม่สมดุล

4. “หัวหน้าที่ใจดี ส่วนใหญ่จะ Block ศักยภาพคนทำงานทั้งหมด” ให้ลองสังเกตว่าทำไมพนักงานอยู่กับเราไม่เก่งขึ้น แต่พอออกไปแล้ว เขาเก่งขึ้นมากกว่าเดิม 3-5 เท่าตัว เหตุผลส่วนใหญ่เพราะเขาได้แรงผลักดัน จากหัวหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่เรานั่นเอง

Advertisment

5. “ทัศนคติ ส่วนหนึ่งมาจากฮอร์โมน” ฮอร์โมนไม่สมดุล เรา Perform ไม่ได้ พอเรา Focus เรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ เราจะหงุดหงิด เราจะนอนไม่หลับ และไม่อยากทำอะไร จึงส่งผลกับประสิทธิภาพการทำงานของเรา

6. “หนึ่งในปัจจัยการเลือกคนเข้าทีม ให้เลือกคนที่เล่นกีฬา“ หรือให้คนที่อยู่มาออกกำลังกาย เพราะคนที่ออกกำลังกายจะมีฮอร์โมน Endorphin ทำให้เครียดยากกว่า จะนิ่งมากกว่า และควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า จึงสามารถสร้างผลงานได้ดีกว่า

7. “เมื่อคนเข้ามาแล้ว ต้องทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง” อาจจะให้การต้อนรับด้วยการเล่น Buddy อาจจะเป็น 5 : 1 คน เพื่อทำให้เขารู้สึกเป็นที่ยอมรับ เมื่อเป็นที่ยอมรับ เขาก็อยากทำงานกับเรามากกว่า

8. “เมื่อเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งแล้ว ก็ต้องทำให้คนของเราเก่งขึ้นทุกปี” มนุษย์จะรู้สึกภาคภูมิใจ ถ้าเราพัฒนาตัวเอง หรือทำอะไรได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีคนมาชม เช่น บางคนยอมทนอะไรบางอย่างเป็นปี ๆ เพื่อประสบความสำเร็จ ดังนั้น แรงจูงใจภายในจึงสำคัญ และทรงพลังมาก

Advertisment

9. “ให้เลือกคนกลัวเมียเข้าทีม” จาก Research กลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนกลัวเมีย เป็นกลุ่มเดียวกัน เหตุผลเพราะคนกลัวเมียจะมีทัศนคติ เหมือนต่อ Lego เมื่อเลือกซื้อมาแล้วเราก็จะไม่เปลี่ยน ต้องต่อให้สำเร็จ

10. “คนเจ้าชู้ มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอ วันหนึ่งจะเจอคนที่สวยกว่า ยังไงก็จะไป” เหมือนที่เราเคย ให้ความรู้ ให้โอกาส ให้ตำแหน่ง ให้เงิน แต่สุดท้ายน้องคนนี้ก็ออกอยู่ดี ต่างจากบางกลุ่มที่บริษัทจะเจ๊งอยู่แล้ว เขาก็จะสู้หลังชนฝา เพราะว่าเขาเลือกที่จะทำให้บริษัทนี้สำเร็จตั้งแต่แรก

11. 2 สิ่งที่หัวหน้าควรหลีกเลี่ยงการให้ทีมงานรู้สึก คือ “งานที่ทำจะไม่มีวันโดนให้ออก” และ “งานที่รับผิดชอบไม่มีความท้าทาย” เพราะจะทำให้ทีมงานไม่มีแรงจูงใจ และไม่ต้องการพัฒนาตนเอง ส่งผลให้เกิด Deadwood ในองค์กร

12. “ถ้าจะดึงดูดคนด้วยเงิน ปัญหาที่ตามมา คือ เงินก็จะไม่พอ” การเพิ่มแรงจูงใจภายนอกโดยการให้เป็นเงิน หรือให้หุ้น แรงจูงใจในการทำงานนั้นจะหมดภายใน 3 เดือน

13. “ยิ่งให้เงินเดือนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ Performance ยิ่งตก“ เคยมั้ยตอนแรกจ้างเงินเดือน 4 หมื่น กลับมีส่วนร่วมในการทำงานดีกว่าตอนหลังที่ให้แสนกว่า เพราะแสนกว่าไม่ต้องทำอะไร แค่ Join Meeting นั่ง Comment งานน้อง ๆ และไม่ลงไปหน้างานแล้ว สาเหตุเพราะ “เราสร้างคนจนอีโก้เยอะ”

14. “การให้ Reward…ก็ควรสมดุล” ถ้าจะ Reward พนักงาน เราไม่ควรให้เงินหรือปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งแรก สิ่งแรกที่ควรให้กับทีมงานคือแรงจูงใจภายใน คือ การทำให้เขาเก่ง ทำให้เขาภาคภูมิใจ สิ่งนี้จะไม่ไปทำลาย Passion ในการทำงานของเขา

15. วิธีการเลือกคบคน เวลาที่เราสำเร็จ ให้เราแยกแยะให้ได้ว่า คนๆนี้…ดีใจไปกับเรา, เสียใจที่เราได้ดี, หรืออิจฉาที่เราได้ดี เราจะไม่มีทางรู้เลย ถ้าเราไม่ตั้งใจที่จะรู้ หรือไม่ได้ฝึกสังเกต ดังนั้นทักษะที่เราต้องพัฒนา คือ “ความสามารถในการแยกแยะคน”

16. “พนักงานดีกับไม่ดี เราแยกได้ แต่พนักงานดีกับดีมาก ถ้าแยกไม่ได้ พนักงานดีมาก…จะออกหมด“ การแยกแยะเราต้องฝึกฝน ไม่งั้นจะกระทบทั้งหมด เช่น พนักงาน เพื่อน ลูกค้า Partner ซึ่งส่งผลลัพธ์ที่ไม่ดีต่อธุรกิจมหาศาล เพราะส่วนใหญ่สาเหตุความล้มเหลวมักมาจากคนที่ไม่ดีเป็นหลัก

17. วิธีการฝึก คือ “ตาดู หูฟัง ถ้าอยากรู้อะไร…อย่าถาม” แต่ให้สังเกตจากการชวนไปเล่นกอล์ฟ, เวลาเมา, เวลาโกรธ, เวลาตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้มันเป็นการรวบรวม Data เพื่อให้เราฝึกแยกแยะคนได้

18. “ใจดำ อำมหิต ต้องฝึก” เพราะถ้าเราตัดคนไม่ดีออกจากชีวิตไม่เป็น คนคนนั้นจะทำร้ายคนรอบข้างเราทั้งหมด หรือทำร้ายพนักงานที่ดีมากของเราอีกด้วย

19. “ทุกครั้งที่เราอยากจะลงโทษใคร เราต้องใส่อีกฝั่งให้กลมกล่อม” เช่น ปกติการให้ออกเป็นการลงโทษ แต่ถ้าเราทำให้ไล่ออกไม่เป็นการลงโทษ ได้โดยใส่ความจริงใจ ใส่ความเป็นมิตร และหางานที่ใหม่เผื่อไว้รองรับ แบบนี้พนักงานที่ออกจะไม่มาเป็นศัตรูเรา

20. ”ในทางกลับกัน การให้รางวัล ก็ต้องใส่อีกฝั่งให้ท้าทาย“ เช่น คุณทำยอดขายได้ดีมากเลย แต่เราสามารถเพิ่มกำไรจาก Project นี้อีกได้มั้ย หรือส่วนนี้ พัฒนาได้อีกมั้ย หัวหน้าต้อง Push ไปเรื่อย ๆ พอให้ Reward ก็จะมีคุณค่าสูงมากกว่าการให้รางวัลปกติ (สังเกตจากหัวหน้าบางคนชมแล้วมีค่ามาก แต่บางคนชมแล้วเรารู้สึกเฉย ๆ)

21. อายุเฉลี่ยพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าอยู่ใน Tech Industry แล้วบริษัทของเรา ช้ากว่า แพงกว่า เก่งสู้คนอื่นไม่ได้ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทเราก็ต้องเอาคนออกให้เป็น คือ “ออกไปแล้ว เขายังรักเรา”

22. “เราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้ ถ้าเราไม่เข้าใจตัวเอง” ในแต่ละวันเราควรฝึกให้เห็นตัวเอง ด้วยการนั่งสมาธิ จะเป็นการฝึกให้เรา Focus และได้เห็นความคิดตัวเอง เพราะถ้าเราไม่เห็นความคิดตัวเอง เราจะเอาอารมณ์มาพูด เวลาเจรจากับลูกค้าบางทีนิ่งไม่พอก็เจรจาไม่สำเร็จ

23. “อ่านหนังสือเยอะ ชีวิตเหมือนเดิม…อ่านไปทำไม ?” การที่เราอ่านแล้วเข้าใจ คือ Skill นึง การที่เราอ่านแล้วนำไปใช้ก็เป็นอีก Skill นึง และถ้าเรานำไปใช้จนชำนาญ ก็เป็นอีก Skill นึง ดังนั้นอ่านแล้วควรนำไปใช้ จะได้รู้ว่า ความรู้นั้นมันถูกหรือมันผิด มัน Work กับเราหรือไม่

24. ให้มองทุกอย่างให้เป็นองค์รวม อย่ามองแค่เสี้ยวเดียว ไม่เช่นนั้น เราจะสร้างสมดุลให้องค์กร หรือเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้