สภาผู้บริโภคเชียร์รัฐบาลใหม่ประกาศนโยบายเน็ตมิเตอริ่งโซลาร์รูฟช่วยแก้ไฟแพง

โซลาร์รูฟ
PHOTO : PIXABAY

สภาผู้บริโภคหนุนรัฐบาลใหม่ประกาศนโยบายเน็ตมิเตอริ่ง (net metering) หักลบค่าไฟฟ้าช่วยชาวบ้านติดโซลาร์เซลล์ แก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง พร้อมส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของภาคครัวเรือนตามนโยบายรัฐ ชี้หากติดได้ 3,000 MW ใน 3 ปี ช่วยจ้างงาน 50,000 ตำแหน่ง 3,200 ล้านบาทต่อปี

วันที่ 8 กันยายน 2566 จากการที่สภาผู้บริโภคได้ติดตามปัญหาค่าไฟฟ้าแพงและมีข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในข้อเสนอคือให้รัฐส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของครัวเรือนด้วยการสนับสนุนให้ผู้บริโภคติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน และส่งเสริมให้มีการคิดค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือเน็ตมิเตอริ่ง (net metering)

ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว ที่ประชุม ครม.รักษาการ ได้มีมติรับทราบผลการศึกษาการดำเนินโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเกี่ยวกับเน็ตมิเตอริ่งที่ได้ระบุว่า ประเทศไทยยังไม่สามารถใช้ระบบเน็ตมิเตอริ่งได้ เพราะติดขัด 3 ประการ คือ ด้านระเบียบและข้อกฎหมายในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้านเทคนิคที่ส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าในระบบ และด้านผลกระทบต่อต้นทุนของหน่วยไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) นั้น

วันนี้ (8 กันยายน 2566) ผศ.ประสาท มีแต้ม กรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค แสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ข้อติดขัดทั้ง 3 ข้อที่รายงานการศึกษาการดำเนินโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเกี่ยวกับเน็ตมิเตอริ่งนั้น สามารถบริหารจัดการได้โดยง่าย เพียงมีนโยบายที่ชัดเจน ไม่ใช่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขแต่ประการใด

ผศ.ประสาท มีแต้ม
ผศ.ประสาท มีแต้ม

ดังนั้นจึงมองว่า รัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ควรทบทวนมติ ครม.รักษาการดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมถึงแนวทางในการลดอุปสรรคตามข้อติดขัดต่าง ๆ เพื่อให้การศึกษามีความครบถ้วนรอบด้านมากขึ้น และควรมีมติให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีการประชุมเพื่อกำหนดความชัดเจนในการปฏิบัติตามมติ ครม.โดยด่วน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สามารถนำมติของ กพช.ไปประกาศเป็นอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ทำให้การหักหน่วยไฟฟ้าเป็นจริงได้

ขณะที่ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค มีความเห็นเพิ่มเติมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาว่า ข้อติดขัดทั้ง 3 ข้อ ดังนี้

ด้านระเบียบและข้อกฎหมายในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายและประชาชนนั้น ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าและนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาหักลบหน่วยไฟฟ้ากับไฟฟ้าของการไฟฟ้านั้นไม่ถือเป็นผู้ประกอบการ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ของครัวเรือนนั้นมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า มิใช่เพื่อขายไฟฟ้า จึงไม่ต้องถูกเรียกเก็บภาษี

รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์
รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์

แม้ในกรณีที่ตีความว่า เป็นผู้ประกอบการ ก็มั่นใจได้ว่ารายได้จากกำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนเกินที่อาจเกิดขึ้นจะไม่สูงไปกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ไม่ต้องจดทะเบียนการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นอกจากนี้การคำนวณค่าไฟฟ้าแบบแยกมิเตอร์ซื้อกับมิเตอร์ขาย หรือเน็ตบิลลิ่ง (net billing) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้คำนึง VAT แต่ประการใด ดังนั้นการคิด VAT จากการใช้ระบบเน็ตมิเตอริ่งจึงไม่มีความจำเป็นและไม่สมควรกระทำ

ด้านเทคนิคและวิธีการที่เกี่ยวข้องที่ส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าในระบบ เนื่องจากไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีความผันผวนและไม่แน่นอน ปัจจุบันสายส่งของการไฟฟ้ามีศักยภาพเพียงพอและมีปริมาณไฟฟ้าที่กันไว้สำหรับรองรับไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ของครัวเรือน ทั้งนี้ การไฟฟ้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้กำลังการผลิตที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งหมดผ่านการจดแจ้งเพื่อขอขนานไฟฟ้าหรือการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รัฐจึงสามารถจำกัดการเข้าถึงสายส่งเพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อแรงดันไฟฟ้าได้โดยง่าย

ทั้งยังสามารถนำไปพยากรณ์กำลังการผลิตที่จะเกิดขึ้นเพื่อวางแผนความต้องการไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้ สำหรับเรื่องมิเตอร์ไฟฟ้านั้น การไฟฟ้ามีแผนจะเปลี่ยนมิเตอร์ของผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นแบบดิจิทัลอยู่แล้ว อีกทั้งการคำนวณค่าไฟฟ้าแบบเน็ตบิลลิ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ต้องใช้มิเตอร์ดิจิทัล ดังนั้นการเปลี่ยนมิเตอร์จึงไม่ใช่ข้อจำกัดของการเปลี่ยนไปใช้ระบบเน็ตมิเตอริ่ง

และด้านผลกระทบต่อประเทศและประชาชนโดยรวมที่ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนของหน่วยไฟฟ้าและค่า Ft โดยเฉพาะกับผู้ไม่สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้ แม้จะไม่มีนโยบายเน็ตมิเตอริ่ง การคิดค่าไฟฟ้าแบบเน็ตบิลลิ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและค่า Ft เช่นกัน ในทางกลับกัน การนำไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จากครัวเรือนมาใช้ จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าเมื่อหักลบกันแล้วการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์จะทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่า Ft น้อยลง

ทางด้านนางสาวจริยา เสนพงศ์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า การพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากโซลาร์รูฟท็อปราว 3,000 เมกะวัตต์ จะก่อให้เกิดการจ้างงานในช่วงระยะเวลา 3 ปี มากกว่า 50,000 ตำแหน่ง และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้แรงงานราว 3,200 ล้านบาทต่อปี

ดังนั้น การแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจและการใช้พลังงานหมุนเวียนจำเป็นต้องเร่งประกาศใช้มาตรการค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือเน็ตมิเตอริ่ง กับภาคครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคาบ้านของตัวเอง และนำศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่ในประเทศมาใช้เป็นลำดับแรก เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเร่งลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษทางอากาศจากโรงไฟฟ้าฟอสซิล และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (net zero emission)

ทั้งนี้ ในวันที่ 22 กันยายน 2566 ระหว่างเวลา 08.30-15.30 น. จะมีงานเสวนาวิชาการเรื่อง “Net metering for all : An enabling pathway towards just energy transition” ซึ่งร่วมจัดโดยคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ร่วมกับ The Friedrich-Ebert-Stiftung (FES) และศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจะนำข้อมูลที่ได้รับจากการเสวนาเสนอให้แก่รัฐบาลใหม่เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลโดยเร็ว