ราคาน้ำมันดิบ (26 มี.ค. 67) ปรับเพิ่ม รัสเซียควบคุมการผลิตน้ำมันดิบ

ราคาน้ำมันดิบ
Photo by Johannes EISELE / AFP

ราคาน้ำมันดิบวันนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลรัสเซียสั่งควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ และจากความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน

วันที่ 26 มีนาคม 2567 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ. ไทยออยล์ ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา มีดังนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ภายหลังรัฐบาลรัสเซียสั่งการให้บริษัทน้ำมันรัสเซีย ปรับลดกำลังการผลิตลงในไตรมาสที่สองของปีนี้

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตที่ไม่เกิน 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 67 ซึ่งจะสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาที่รัสเซียเคยให้ไว้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส)

การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งในรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดความกังวลต่อเรื่องอุปทานน้ำมัน โดยในภาพรวมของเดือนนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันในรัสเซียลดลงไปแล้วกว่า 7% (ไม่นับรวมเหตุจากการหยุดซ่อมบำรุง) และอาจส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซีย ขณะที่ยูเครนก็เกิดเหตุไฟฟ้าดับในหลายเมือง จากการที่ถูกรัสเซียโจมตีระบบสาธารณูปโภค

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ลงมติเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันทีในช่วงเดือนรอมฎอน รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมติดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุน 14 เสียง ขณะที่สหรัฐ งดออกเสียงและไม่ใช้สิทธิอำนาจยับยั้งมติดังกล่าว

ทั้งนี้การหยุดยิงอาจช่วยบรรเทาปัญหาด้านการขนส่งในทะเลแดงได้ หากกลุ่มฮูตีอนุญาตให้ใช้เส้นทางการเดินเรือดังกล่าวเพื่อการขนส่งสินค้า

ราคาน้ำมันเบนซิน

ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซินจากเอเชียไปยังเม็กซิโกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลขับขี่ในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ในภูมิภาคที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง

ราคาน้ำมันดีเซล

ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์น้ำมันดีเซลในทวีปเอเชียยังคงมีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากปริมาณสต๊อกน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ด้วยข้อจำกัดของการขนส่งน้ำมันไปยังฝั่งตะวันตก ส่งผลให้สินค้าอยู่ในภูมิภาคเอเชียนานมากขึ้น