เดาไม่ได้ “โควิด-19” จบเมื่อไหร่ 3 สภาธุรกิจเอกชนถกด่วน 4 มี.ค.นี้

จับตาประชุม กกร. 4 มี.ค.ถกมาตรการรับมือโควิด-19 หลังคลัสเตอร์ท่องเที่ยวส่งสัญญาณทรุดหนัก

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท., สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ที่ตนทำหน้าที่ประธานการประชุมวันที่ 4 มีนาคม 2563 นี้ จะหยิบยกประเด็นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 มาหารือ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ค่อนข้างมาก จำเป็นจะต้องมีมาตรการรองรับปัญหา

“คงจะต้องหารือถึงผลกระทบในภาพรวม ซึ่งขณะนี้เบื้องต้น กกร.อยู่ระหว่างการรวบรวมผลกระทบ ซึ่งจะรวมไปถึงมาตรการที่จะนำเสนอภาครัฐเพิ่มเติม ในการดูแลเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามคงจะต้องติดตามมาตรการภาครัฐที่จะมีการนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์นี้ว่าจะออกมาตรการมาอย่างไร ประกอบด้วยซึ่งภาครัฐเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหา แต่ทุกอย่างต้องร่วมมือกันหลายๆ ด้าน”

ทั้งนี้ กกร. เดือน ม.ค. 2563 ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2563 จากเดิมโต 2.5-3% เหลือ 2-2.5% แต่คงการส่งออกคาดว่าจะเติบโตระดับ 0-ติดลบ 2% และเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 8-1.5% ซึ่งยอมรับว่าจากการแพร่ระบาดโควิด -19 ที่ลุกลามไปหลายประเทศจะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจที่ลดลงอีก แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไรจะขอหารือในที่ประชุม กกร.อีกครั้ง เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์ในระยะต่อไปรวมถึงมาตรการรัฐที่ออกมาด้วย

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน ส.อ.ท.และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า ยอมรับว่าโควิด-19 มีผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ขณะนี้การแพร่ระบาดได้ลามไปหลายประเทศทั่วโลกแล้ว ซึ่งกลุ่มฯยังคาดหวังว่าการแพร่ระบาดทั่วโลก โดยเฉพาะจีนจะสามารถควบคุมและจบได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน

“ขณะนี้การจ้างงานในกลุ่มยานยนต์ยังปกติไม่มีแผนที่ลดคนแต่อย่างใด เพราะเราคาดหวังว่า 6 เดือนน่าจะควบคุมได้ ซึ่งขณะนี้ผู้ติดเชื้อในจีนมีอัตราลดลงต่อเนื่องแล้ว แต่ยอมรับว่าระยะสั้นที่เกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบต่อยอดผลิตรถยนต์ที่ทั้งปี 63 ตั้งเป้าไว้ 2 ล้านคัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อขายในประเทศ 1 ล้านคัน และส่งออก 1 ล้านคันให้ลดลงได้ เพราะกำลังซื้อภาพรวมได้รับผลกระทบเพราะเศรษฐกิจถดถอย แต่จะลดมากน้อยคงต้องติดตามใกล้ชิด เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะจบเมื่อไหร่”