ส่งออก มี.ค.พุ่ง 8.47% ยอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7.5 แสนล้าน

ภาพ Pixabay

“จุรินทร์” เผยเอง ตัวเลขส่งออกมีนาคมพุ่ง + 8.47% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำรายได้ 750,000 ล้านบาท

วันที่ 23 เมษายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนมีนาคม 2564 ออกมาแล้วอย่างที่ได้คาดการณ์ไว้ นั่นคือการส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2564 สามารถทำตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่งถึง 750,000 ล้านบาท ขยายตัวถึง +8.47 % และถ้าไม่นับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะสูงถึง + 12%

ซึ่งสะท้อนว่าการส่งออกของไทยยังเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แม้ในยามที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด ทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรวมทั้งยังมีปัญหาด้านการท่องเที่ยวก็ตาม

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

นายจุรินทร์กล่าวว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ นอกจากเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว ก็ยังเกิดจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในนาม กรอ.พาณิชย์ เพราะเมื่อมีปัญหาใดขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกก็สามารถตั้งคณะทำงานร่วมกันขึ้นมาแก้ไขปัญหาได้ในทันที

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ปัญหาการส่งออกตามด่านชายแดน และปัญหาความไม่เข้าใจอื่น ๆ ของคู่ค้า รวมทั้งการเร่งปรับรูปแบบการเจรจาการค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มีนวัตกรรมทางการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ ในยุคนิว นอร์มอลขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเปิดการเจรจาการค้ากับคู่ค้าต่างประเทศ ในรูปแบบไฮบริด เวอร์ชวล เทรดเอ็กซ์ซิบิชั่น หรือรูปแบบการจับคู่เจรจาธุรกิจก็ตาม ทำให้เป้าหมายการส่งออกปี 2564 นี้ที่มีการประเมินร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนว่าจะขยายตัว +4% นั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

ด้าน นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงการส่งออกไทยเดือนมีนาคม 2564 พบว่า มีมูลค่า 24,222.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.47% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นการสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกทั้งยังสูงสุดในรอบ 28 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดีขึ้นมีผลต่อการนำเข้าสินค้า

ทั้งนี้ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวถึง 11.97% สะท้อนการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ขณะที่ภาพรวมไตรมาสแรกของปี 2564 การส่งออกขยายตัวที่ 2.27% เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ ไตรมาสแรกขยายตัวที่ 7.61%

ภูสิต รัตนกุล

อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องของแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยเนื่องจากกลุ่มแพร่ระบาดไม่ได้อยู่ในกลุ่มแรงงาน โรงงาน ซึ่งส่งผลให้การผลิตสินค้านั้นยังเดินหน้าได้ พร้อมกันนี้ทิศทางการยังออกแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี

สำหรับการนำเข้า มีมูลค่า 23,511.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 14.12% ดุลการค้าเกินดุล 710.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนภาพรวมการส่งออกไทยไตรมาสแรกของปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 64,148.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2.27% การนำเข้า มีมูลค่า 63,632.37 ขยายตัว 9.37% เกินดุล 515.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ หากการส่งออกไทยทั้งปีโต 4% การส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 19,620 ล้านเหรียญสหรัฐ หากส่งออกโต 6% เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,134 ล้านเหรียญสหรัฐ และโต 7% เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,391 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทิศทางการส่งออกที่เป็นไปในทิศทางที่ดีว่งแนวโน้มอาจจะมีการพิจารณาปรับประมาณการณ์ส่งออกอีกครั้ง ทั้งนี้ ก็ต้องรอดุนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อีกครั้ง

ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2564 ว่าจะขยายตัวที่ 6.0% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5.5% เนื่องจากได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการเร่งแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลก รวมทั้งคาดว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยจะปรับตัวดีขึ้น อาทิ สหรัฐฯ ขยายตัว 6.4% จีน ขยายตัว 8.4% ญี่ปุ่น ขยายตัว 3.3% และประเทศในทวีปยุโรป ขยายตัว4.4%

โดยสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัวได้ดีและเป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ขณะที่สินค้าเกษตรและอาหารที่ยังเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยง สำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ โทรศัพท์และอุปกรณ์ และสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ด้านตลาดส่งออกสำคัญมีทิศทางทีดีขึ้นตามลำดับ โดยหลายตลาดขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป (15) และเอเชียใต้ นอกจากนี้ หลายตลาดส่งสัญญาณฟื้นตัว อาทิ ตลาด CLMV ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ที่กลับมาขยายตัว รวมถึงตะวันออกกลาง (15) และอาเซียน (5) ที่หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อนมาก

นายภูสิต กล่าวอีกว่า แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2564 ปัจจัยบวกจาก (1) การฟื้นตัวภาคการผลิตของโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (2) ประสิทธิภาพของการกระจายวัคซีน ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น

(3) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศเริ่มส่งผลในทางบวกต่อความเชื่อมั่นด้านการบริโภคของประชาชน และ (4) ราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว คาดว่าจะเป็นแรงหนุนให้การส่งออกกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

ปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ (1) อุปสรรคการค้าชายแดนในเมียนมา โดยเฉพาะการประท้วงที่เกิดขึ้นยาวนานอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของเมียนมาในภาพรวม (2) ต้นทุนค่าระวางขนส่งทางเรือของผู้ประกอบการอาจสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และ (3) เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สำหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในปี 2564 ได้มีแผนเร่งรัดการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ

โดยเฉพาะข้าวที่มีการกำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวในปี 2564 ตั้งเป้าไว้ที่ 6 ล้านตัน มุ่งเน้นตลาดสำคัญ 3 ตลาด คือ ตลาดพรีเมียม ตลาดทั่วไป และตลาดเฉพาะ พร้อมเพิ่มการใช้ประโยชน์จาก FTA และ MOU ที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนการส่งออก

รวมทั้งให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศประสานงานกับผู้ส่งออก-นำเข้า สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้ข้าวไทย และเตรียมจัดงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2021 เพื่อโปรโมตสินค้าอาหารของไทยในเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ ยังมีแผนในการเปิดตลาดใหม่ โดยขยายการส่งออกสินค้าไปยังประเทศปานามา เพื่อใช้เป็นเส้นทางกระจายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ตอนบนอีกด้วย