จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ทำให้การผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้ไบโอดีเซล B10 เป็นดีเซลเกรดหลักของประเทศทดแทน B7 ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 ไม่ได้รับการตอบรับมากนักเชื่อมโยงผลประกอบการของบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ในช่วงไตรมาสแรกที่มีรายได้จากการขาย 4,968 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาส 1 ปีก่อน
เป็นจังหวะที่ “ไพโรจน์ สมุทรธนานนท์” ได้รับการแต่งตั้งจากบอร์ดให้ขยับจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
มาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ของ GGC ตั้งแต่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจฝ่าวิกฤตโควิดว่า
ผู้นำ “โอลีโอเคมี”
จากสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องยอมรับว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรจะรองรับการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสให้บริษัทก้าวต่อไปด้วยความยั่งยืน อยากให้ทุกคนเป็นเจ้าของทำงานอย่างเต็มที่ นี่คือวิสัยทัศน์ส่วนตัว
ส่วนวิสัยทัศน์ของบริษัท คือ การขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์ ดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโอลีโอเคมีระดับภูมิภาค และเป็นผู้ประกอบธุรกิจเคมีภัณฑ์ เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก รวมถึงการพัฒนาองค์กร ขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน
กลยุทธ์ผลักดันธุรกิจ
โดยวางการทำงานไว้ 3 ระยะ คือระยะแรกนั้น เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการแข่งขันมากขึ้นการเดินทางลดลงซึ่งมีผลต่อความต้องการใช้ไบโอดีเซล (บี 100) ทำอย่างไรที่จะยืดหยุ่น ปรับตัวได้ ราคาแข่งขันได้
พร้อมการลดต้นทุน ดูแลตลอดซัพพลายเชนตั้งแต่การผลิตกระทั่งถึงลูกค้า การทำงานต้องมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้
ระยะกลาง บริษัทมี 3 สินค้าหลัก คือ เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เนื่องจากมีการแข่งขันสูง จำเป็นที่จะต้องขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมที่มี โดยการปรับปรุง
พัฒนาให้เกิดสินค้าใหม่ ๆ, ชีวเคมี (biochemical) ขยายฐานลูกค้าจากปัจจุบัน โดยต้องไปหาลูกค้าใหม่ ๆ และพลาสติกชีวภาพ (bioplastic) บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายธุรกิจ
และในระยะยาว จากที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ต้องเตรียมแผนรองรับต่อยอดผลิตสินค้าจะมีการศึกษาวิจัยเต็มที่ ดูความเหมาะสมของความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต
ลุยนครสวรรค์ไบโอฯเฟส 2
สำหรับโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ที่ร่วมกับบริษัท เกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือKTIS ลงทุนก่อสร้างเฟส 1 ด้วยงบประมาณ 7,500 ล้านบาท
สร้างโรงหีบอ้อย 2.4 หมื่นตันต่อวัน โรงผลิตเอทานอล 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ คาดว่าสิ้นปี 2564 จะแล้วเสร็จ และเริ่มต้นผลิตได้ต้นปี 2565
ส่วนเฟส 2 ซึ่งเป็นการต่อยอดเอทานอลสู่อุตสาหกรรมไบโอเคมิคอลและไบโอพลาสติก คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 10,000-30,000 ล้านบาท ทางบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท เนเจอร์เวิร์กจากสหรัฐ ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
เพื่อเข้ามาตั้งโรงงาน PLA แห่งที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากบีโอไอแล้วเชื่อว่าใน 1-2 เดือนจะเริ่มลงทุนก่อสร้างได้ เบื้องต้นคาดว่าเนเจอร์เวิร์กจะลงทุน 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน GGC จะสนับสนุนโดยการขายไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวก
เป้ารายได้ปีนี้
จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่าครึ่งปีหลัง 2564 จะดีขึ้น โดยการฉีดวัคซีน การควบคุมการแพร่ระบาด
ทำให้การเดินทางมากขึ้น เชื่อว่ารายได้จะกลับมาดีความต้องการของลูกค้าจะกลับมาทั้งกลีเซอรีน เอทานอล เนื่องจากโรงงานเอทานอล 1-2 โรงงานในต่างประเทศหยุดผลิต
“บริษัทมุ่งปรับปรุงการผลิต นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้า เชื่อว่ายอดรายได้ของปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 18,203 ล้านบาท โดยมีกำลังการผลิตปัจจุบันที่ 60-70%”
ความคืบหน้าคดีปาล์ม
ส่วนความคืบหน้าคดีวัตถุดิบปาล์มคงคลังหาย เมื่อปี 2561 เป็นผลจากการกระทำอันมิชอบ จากที่มีการสมรู้ร่วมคิดทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งบริษัทผู้ค้าและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย
“คดีที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อบริษัทบ้าง แต่ก็ได้แก้ไขปัญหาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและพร้อมจะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง”