สนค.ชี้ความเชื่อมั่นชายแดนใต้ดีขึ้น หวังเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจ

สนค.-ศอ.บต.เผยดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ ไตรมาส 3 ปรับตัวดีขึ้น มั่นใจการเปิดประเทศ เปิดด่านจะกระตุ้นเศรษฐกิจก่อใหเกิดรายได้ในพื้นที่มากขึ้น

วันที่ 29 ตุลาคม 2564 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยผลการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนประมาณ 34,000 คน ในพื้นที่ 5 จังหวัด ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นไตรมาส 3 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้โดยรวมไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ในช่วงเชื่อมั่น ที่ระดับ 51.87 ปรับตัวสูงขึ้นจากอยู่ที่ระดับ 50.90 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการสูงขึ้นของความเชื่อมั่น ด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม

สำหรับด้านความมั่นคงดัชนีปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย และเมื่อพิจารณามิติของความเชื่อมั่นในปัจจุบันและในอนาคต พบว่า ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ที่ระดับ 54.88 และอยู่ในช่วงเชื่อมั่นมาโดยตลอดทั้งสามไตรมาส ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงไม่เชื่อมั่น (ระดับ 48.14) ชี้ว่าแม้ประชาชนจะยังมีความกังวลกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกและมีความเชื่อมั่นว่า สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นมาโดยตลอด สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้จำแนกเป็นรายจังหวัด พบว่า ในไตรมาสนี้ทุกจังหวัดมีความเชื่อมั่นโดยรวมสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลาที่ดัชนีปรับตัวกลับมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่น

และจากการสำรวจประเด็นเกี่ยวกับปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือของประชาชนในพื้นที่ พบว่า เรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นปัญหามากที่สุด คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ 67.05%รองลงมาได้แก่ เรื่องรายได้ตกต่ำ อยู่ที่ 57.98% เรื่องค่าครองชีพ/ราคาสินค้าและบริการสูง อยู่ที่ 55.59 %การว่างงาน อยู่ที่ 48.90% และปัญหายาเสพติด อยู่ที่ 44.73% สำหรับความต้องการที่ประชาชนต้องการให้ช่วยเหลือ/แก้ไขมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ เรื่องลดภาระค่าครองชีพ/ราคาสินค้า การมีงานทำและรายได้ การแพร่ระบาด ของไวรัสโควิด-19 ราคาสินค้าเกษตร และความไม่สงบในพื้นที่

อย่างไรก็ดี เมื่อมีการประกาศเปิดประเทศจะส่งผลให้กิจการ การค้า ธุรกิจ การท่องเที่ยว กลับมาดำเนินการได้แม้จะยังไม่คล่องตัวมากนัก แต่ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนในพื้นที่และก่อให้เกิดรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินการโดยเฉพาะการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก จะดำเนินการตามมาตการ 17+1 โดยมาตรการ 17 ด้าน เป็นมาตรการที่ใช้ดำเนินการมาแล้วในภาคตะวันออก ส่วน +1 เป็นมาตรการเร่งรัดการเปิดด่านชายแดนใต้ เพื่อให้การระบายสินค้าทางการเกษตรไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งคาดว่านโยบายดังกล่าวน่าจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ชายแดนใต้ได้อีกทางหนึ่ง

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นสิ่งที่ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ส่วนหน้า เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ประสานงาน บูรณาการและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว เพื่อลดการแพร่ระบาดในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและนักธุรกิจในพื้นที่เริ่มกลับมาดีขึ้น และเชื่อว่าการเปิดประเทศจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การจับจ่ายซื้อสินค้าของประชาชน พร้อมกันนี้ ยังจะเร่งเปิดด่านเพื่อให้เกิดกิจการต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้ ประเทศเพื่อบ้านสามารถเข้ามา ท่องเที่ยว จับจ่ายซื้อสินค้า และจะทำให้เศรษฐกิจมีความคึกคักและเกิดการหมุนเวียนในภาคธุรกิจ ภาคการผลิต ทั้งนี้ยังต้องการให้หน่วยงานภาครัฐช่วยในเรื่องของการเสริมสภาพคล่อง เงินกู้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ผู้ประกอบการในการทำธุรกิจต่อไป