ทำไมกลุ่ม ปตท. ไตรมาส 3 ปีนี้ กำไรดิ่งยกแผง ?

เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมกลุ่ม ปตท. กำไรไตรมาส 3/2565 ถึงดิ่งยกแผง สวัสดีครับ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน EP.42 สัปดาห์นี้จะพาไปค้นหาคำตอบกับเรื่องนี้กับคุณ “จักรพงศ์ เชวงศรี” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

ภาพรวมกำไรกลุ่ม ปตท. งวดไตรมาส 3/65 ประกาศออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ?

นายจักรพงศ์กล่าวว่า กำไรรวมของกลุ่ม ปตท. 7 บริษัทหลัก ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบด้วย 1.บมจ.ปตท. (PTT) 2.บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 3.บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) 4.บมจ.ไทยออยล์ (TOP) 5.บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) 6.บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ 7.บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ (GPSC)

ออกมาอยู่ที่ 18,166 ล้านบาท ลดลง 62% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และลดลง 78% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยกำไรที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นในส่วนของ PTTEP ที่ยังสามารถทำกำไรเติบโตได้ทั้ง YOY และ QOQ อยู่ที่ 24,172 ล้านบาท เติบโต 153% YOY และ 17% QOQ

โดยในส่วนที่อ่อนแอมากที่สุดจะเป็น PTTGC ที่มีผลขาดทุนทั้งสิ้น 13,384 ล้านบาท ลดลง 219% YOY และ 1,064% QOQ นอกนั้นลดลงหมดทั้ง YOY และ QOQ

ดังนั้นประมาณการของกลุ่ม ปตท.สำหรับปีนี้ทั้งกลุ่มที่เราทำไว้ 257,000 ล้านบาท โดยประมาณ ก็มีความเสี่ยงที่อาจจะถูกปรับลดลงได้ จากผลประกอบการของบริษัทลูกที่ค่อนข้างอ่อนแอ ที่ออกมาในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมี

ทำไม ? กำไร PTT หดตัวเหลือแค่ 8,884 ล้านบาท

นายจักรพงศ์กล่าวต่อว่า PTT งบที่ออกมา 8,884 ล้านบาท ออกมาต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ตรงนี้เป็นสาเหตุหลักมาจากกำไร (Earnings) ของงบฯ PTTGC ที่ต่ำกว่าที่เราคาดไปประมาณ 2,000 ล้านบาท ดังนั้น PTT ถือหุ้นใน PTTGC สัดส่วน 50% เพราะฉะนั้นมีส่วนช่วย (contribute) มาที่ ปตท. ประมาณ 1,000 ล้านบาท นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้งบฯ ปตท.ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าที่เราคาดการณ์

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไปดูธุรกิจที่ดำเนินงาน(operate) โดย ปตท.เองก็คือ ธุรกิจก๊าซ มีการปรับตัวลดลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแยกก๊าซ ท่อก๊าซ หรือธุรกิจการขายก๊าซ

โดยธุรกิจท่อก๊าซมีการปรับลง เนื่องจากในเดือน ส.ค. 65 มีการบังคับใช้ค่าผ่านท่อใหม่ ที่มีอัตราปรับลดลงค่อนข้างมีนัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของท่อที่อยู่ในทะเล ที่เดิมอยู่ที่ประมาณ 21 บาทต่อล้านบีทียู ลดลงเหลือ 13 บาทต่อล้านบีทียู ทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจท่อก๊าซมีการปรับตัวลดลง นอกจากนี้ปริมาณก๊าซก็ปรับตัวลดลง 5% QOQ

โดยในส่วนของธุรกิจโรงแยกก๊าซที่ปรับลดลงเป็นส่วนของมาร์จิ้น เพราะราคาเนื้อก๊าซ (Pool Gas) ในประเทศค่อนข้างปรับตัวขึ้นประมาณ 1% แต่ราคาขายก๊าซที่ลิงก์ติดกับราคา LPG และราคาเม็ดพลาสติก มีการปรับตัวลดลง 18-20%

ดังนั้นมาร์จิ้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซจึงมีการลดลงอย่างมีนัย และธุรกิจขายก๊าซมาร์จิ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยเช่นเดียวกัน เนื่องจากราคา Pool Gas ที่รวมราคา LNG เข้าไปด้วย มีการปรับขึ้นประมาณ 24% มาอยู่ที่ 12.4 เหรียญต่อล้านบีทียู

ในขณะที่ราคาขายยังคงสอดคล้องกับราคาน้ำมันเตา ซึ่งในไตรมาส 3 ราคาน้ำมันเตามีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมีนัย กดดันกำไรส่วนที่เป็นเงินสด (EBITDA) ธุรกิจขายก๊าซพลิกตัวเป็นติดลบประมาณ 4,000 ล้านบาท จากเดิมเป็นบวก 2,000 ล้านบาทต่อไตรมาส

สาเหตุ ? บริษัทลูก ปตท.กำไรดิ่ง เหลือแค่ PTTEP แข็งแกร่งพยุงกลุ่ม

นายจักรพงศ์กล่าวอีกว่า โดยในส่วนของ PTTGC เป็นผลมาจากธุรกิจโอเลฟินส์และธุรกิจอะโรเมติกส์ที่อ่อนแอมาก ๆ EBITDA ติดลบ เป็นผลมาจากส่วนต่าง (Spread) ของโอเลฟินส์ที่่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน (Break-even) รวมถึงธุรกิจอะโรเมติกส์ด้วย

โดยในส่วนธุรกิจโรงกลั่นก็ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน แต่ยังกำไรอยู่ในส่วนของการดำเนินงานหลัก (Core operation) แต่พอมาเจอขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (hedging loss) ต่อ ก็ยังทำให้ธุรกิจโรงกลั่นยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ก็เลยกลายเป็นว่าทุกธุรกิจหลักอ่อนตัวลงหมด และพอมีขาดทุนสต็อกน้ำมัน (inventory loss) กว่า 8,000 ล้านบาท ก็เลยกลายเป็นติดลบไปเยอะมาก

IRPC ก็เหมือน PTTGC เลย โอเลฟินส์ Spread มันต่ำกว่า Break-even ทำให้ติดลบ ประกอบกับมี inventory loss ส่วนทาง GPSC ต้นทุนแก๊สที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3/65 ราคา Pool Gas ของปตท. ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 10 เหรียญ ขึ้นมาอยู่ที่กว่า 12 เหรียญ ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น

ในขณะที่การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Float time) ที่ปรับเพิ่มขึ้นยังตาม Pool Gas ไม่ทัน เลยทำให้กำไรยังถูกกดดัน ประกอบกับมี effect loss จากค่าเงินบาทอ่อนค่า

OR ขาดทุนสต๊อก 5 พันล้าน

ด้าน OR ที่กำไรลงค่อนข้างแรง 63% YOY และ 89% QOQ หลัก ๆ เลยคือในส่วนของ Oil Margin ต่อลิตร มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง จาก 1.61 บาทต่อลิตรในไตรมาส 2/65 ลงมาเหลือ 0.68 บาทต่อลิตร ซึ่งหลัก ๆ แล้วเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงเร็วและแรง ทำให้เกิด inventory loss ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายลดลง 8% QOQ ตามฤดูกาลในช่วงหน้าฝน

ส่วน TOP ที่กำไรลดลงเหลือแค่ 12 ล้านบาท ก็คือลง 100% YOY และ QOQ เป็นผลจากค่าการกลั่นปรับตัวลดลงแรง จากกว่า 20 เหรียญ ลงมาเหลือแค่ 6.7 เหรียญ นอกจากนี้กำลังการกลั่นปรับตัวลดลงเล็กน้อย จาก 110% เหลือ 104% ก็เป็นไปตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงมา และก็มี inventory loss และ hedging loss ค่อนข้างใหญ่ ก็เลยทำให้กำไรหายเกือบหมด

ขณะที่ PTTEP ที่ดีขึ้นเป็นผลของยอดขายที่ดีขึ้น 15% YOY และเพิ่มขึ้น 3% QOQ ในขณะที่การควบคุมค่าใช้จ่ายทำได้ดี โดยต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ทรง ๆ อยู่ที่ 28.8 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาขายลดลงเล็กน้อยตามราคาน้ำมันดิบ แต่ด้วยความที่ว่ามีเรื่องภาษี (taxing gain) ก็เลยทำให้ในส่วนของกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่ Core Profit ค่อนข้างทรงตัว

มองภาพกำไรกลุ่ม ปตท. ไตรมาส 4/2565 อย่างไร ?

นายจักรพงศ์กล่าวว่า ไตรมาส 4/2565 แนวโน้มค่อนข้างฟื้นตัวแน่ ๆ เพราะว่า inventory loss ตอนนี้น่าจะสวนกลับ (reverse) เป็น inventory gain เล็กน้อย ประกอบกับ effect loss เป็น effect gain ในขณะที่ Core operation เชื่อว่าจะยังอ่อนแอต่อเนื่องในพาร์ตของปิโตรเคมิคอลส์ ยังต่ำกว่า Break even หมดทุกสายผลิตภัณฑ์

โรงกลั่นเชื่อว่าค่าการกลั่นน่าจะใกล้เคียงหรืออ่อนกว่าไตรมาส 3/65 เล็กน้อย เพราะเดือน ต.ค.แย่มาก แต่เดือน พ.ย.กำลังฟื้นตัว และเดือน ธ.ค.เชื่อว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวและราคาก๊าซปรับขึ้นในไตรมาส 4/65 วอลุ่มก็ดีขึ้น

เพราะฉะนั้น  Overall พวกปิโตรเคมีขั้นต้น (Upstream) ยังค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง ในขณะที่โรงกลั่นและปิโตรเคมีฟื้นตัวขึ้นจาก inventory loss กลายเป็น inventory gain และ effect loss กลายเป็น effect gain แต่ว่า Core operation ยังค่อนข้างอ่อนแอต่อเนื่อง

โดยในส่วนของ Retail Oil อย่าง OR เชื่อว่างบฯฟื้นตัว กลายเป็น inventory gain แต่ว่าในเชิงค่าการตลาด (marketing margin) น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติช่วงไตรมาส 4 จะมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะฉะนั้นการดำเนินงานหลักคงดีขึ้นแต่ไม่ดีมาก เพราะค่าใช้จ่ายมันโหลดเข้ามาอยู่แล้ว

คำแนะนำหุ้นกลุ่ม ปตท.-ราคาเป้าหมาย ?

ราคาเป้าหมายของ PTT ยังอยู่ที่ 46 บาท โดยเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” เพราะถึงแม้ว่างบจะออกมาไม่ดี แต่ถ้าดูภาพรวมทั้งปี ปีนี้น่าจะใกล้เคียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่แย่ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเทรดอยู่ที่ -2SD ในเชิงราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (price per book) เพราะฉะนั้นเรามองว่าดาวน์ไซด์ค่อนข้างลิมิตสำหรับราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน

ส่วนราคาเป้าหมาย PTTEP อยู่ที่ 187 บาท, OR อยู่ที่ 29.5 บาท, TOP อยู่ที่ 62.5 บาท, PTTGC อยู่ที่ 43.8 บาท, IRPC อยู่ที่ 3.43 บาท

โดยคำแนะนำในส่วนของกลุ่มโรงกลั่น TOP เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” เชื่อว่าค่าการกลั่นยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยกลุ่มเคมิคอลส์ PTTGC และ IRPC เรายังคงแนะนำ “ถือ” ยังมีมุมมองเชิงลบต่อธุรกิจปิโตรเคมี

เพราะเราเชื่อว่าจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม จะอยู่ในช่วงของปลายปีหน้า เพราะฉะนั้นผลประกอบการ ถ้าไม่รวมในส่วนของ inventory gain-loss เชื่อว่าจะยังอ่อนแออย่างต่อเนื่องตามส่วนต่างปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในระดับต่ำ