“อาทิตย์” บริษัท เอสซีบี เอกซ์ หรือ SCBX มองปล่อยกู้กลุ่มเสี่ยงไม่ควรมีเพดานกำหนดตามแนว Risk Based Pricing เผยจับมือ KakaoBank ขอไลเซนส์ Virtual Bank หวังเจาะกลุ่มเข้าไม่ถึงการเงิน พร้อมเปลี่ยนแนวคิด “ระบบเช่า” แทน “การปล่อยกู้” ช่วยลดหนี้ครัวเรือน นำร่องกลุ่มจักรยานยนต์ไฟฟ้า 3 หมื่นคัน ภายใน 1-2 ปี
วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk Based Pricing) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าไม่ควรมีเพดานอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากลูกค้ามีความเสี่ยงแตกต่างกัน ควรให้คิดอัตราดอกเบี้ยขึ้นและลงตามความเสี่ยงของลูกค้า ซึ่งไม่ควรมีลิมิตหรือมีเพดานดอกเบี้ย เพราะหากผู้กู้เป็นลูกค้าดีก็ควรได้รับดอกเบี้ยต่ำ เพราะถ้าคิดดอกเบี้ยสูงจะไม่มีลูกค้ามากู้ ซึ่งหากต้องการให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อกลุ่มเสี่ยงขึ้นภายใต้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมธนาคารก็จะไม่กล้าปล่อย
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
ดังนั้น เป้าหมายส่วนหนึ่งของการร่วมมือกับ KakaoBank จัดตั้ง Consortium เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นขอใบอนุญาต (License) การจัดตั้ง Virtual Bank จาก ธปท. ส่วนหนึ่งต้องการแก้ปัญหาให้กับคนไทยที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบ (Underserved) และลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นการปล่อยสินเชื่ออย่างเดียว โดยมีทั้งเงินฝาก เพื่อส่งผ่านต้นทุนที่ถูกลงไปยังผู้กู้กลุ่ม Underserved ให้สามารถเข้าถึงลูกค้า
โดยที่ผ่านมากลุ่ม SCBX ได้ทำผ่านบริษัทมันนิกซ์ (MONIX) ที่ร่วมกับฟินเทคสตาร์ตอัพจากประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จ แม้ว่าพอร์ตการปล่อยสินเชื่อจะไม่ได้ใหญ่มาก อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท แต่กำลังมุ่งสู่ 1 หมื่นล้านบาท และทยอยมีผลกำไรสะท้อนว่าเดินมาถูกทาง
“เป้าหมายการขอ Virtual Bank เราจะเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแบงก์ไม่ได้ ซึ่งแน่นอนเราก็รับเงินฝากจากคนที่มีเงินเยอะกว่ามาปล่อยสินเชื่อ และเรามั่นใจใน Principle ที่จะทำอะไร และดีไซน์ออกมา”
นายอาทิตย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 90% ของจีดีพี จะพบว่าหากไม่นับรวมในแง่วงเงิน จะเห็นว่าประมาณ 30% ของประชากรเป็นหนี้ที่วัดได้ แต่จะมีหนี้อีกกว่าครึ่ง หรือ 50% ที่ยังพึ่งพานอกระบบ ซึ่งเรามีหนี้ไม่รู้เท่าไร และมีหนี้ที่จะต้องได้รับการแก้ไขมากน้อยระดับใด นอกจากนี้ คนที่ไม่สามารถกู้ในระบบได้เผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่าปกติ ซึ่งธนาคารไม่สามารถดูแลคนกู้นอกระบบได้ เนื่องจากมีคนกู้ในระบบธนาคารพาณิชย์เพียง 10% ที่สามารถดูแลได้
ดังนั้น SCBX อยู่ระหว่างการทดลองการเปลี่ยนระบบการปล่อยสินเชื่อ มาเป็นระบบเช่าให้กับกลุ่มลูกค้ารายได้น้อย โดยเริ่มจากกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์ ซึ่ง SCBX โดย Robinhood ซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาจำนวน 3 หมื่นคัน มาปล่อยเช่าให้กับคนขับ ซึ่งโดยรวมจะช่วยลดค่าใช้จ่ายคนขับที่จากเดิมจะต้องเสียเฉลี่ย 300 บาทต่อวัน ลดลงมาเหลือ 150 บาทต่อวัน
โดยเบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับ ธปท.เพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดมาสู่ระบบเช่า ซึ่งหลังจาก SCBX ได้เริ่มทดลองไปแล้ว แต่ยังคงติดข้อกำหนดบางอย่างที่จะต้องขออนุญาต ธปท.ในเรื่องของการเช่า ทั้งนี้ ตั้งใจเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนเบื้องต้น 3 หมื่นคัน ภายในช่วง 1-2 ปี จากปัจจุบันที่มีรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันจำนวน 4 ล้านคัน
อย่างไรก็ดี ได้เริ่มทดลองเฟสแรกไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเรื่องของการให้เช่าโซลาร์รูฟท็อป หรือการรวมเข้าไปอยู่กับโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อให้ลูกค้าสามารถประหยัดและสามารถนำเงินที่ลดได้มาจ่ายค่าเช่าแทน โดยไม่ต้องกู้เงินเพื่อติดตั้งในราคา 4-5 แสนบาท
“วิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนคือ ต้องเพิ่มรายได้ก่อน เนื่องจากกลุ่มฐานรากไม่ได้นำเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย แต่เป็นการใช้จ่ายในการอุปโภค บริโภค และต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่จากการให้สินเชื่อมาสู่ระบบการเช่า ซึ่งเราเองก็ยังคงมีผลตอบแทนจากการเช่า ลูกค้าเองไม่ต้องกลับไปเป็นหนี้ และขณะเดียวกัน รถไฟฟ้าลดคาร์บอน และลดมาก ๆ เราสามารถนำคาร์บอนมาขายได้อีก มองว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่”