ส่องอนาคตตลาดกระทิงคริปโตเคอร์เรนซีจะมาเมื่อไหร่ ?

ส่องอนาคตตลาดกระทิงคริปโตเคอร์เรนซีจะมาเมื่อไหร่ ? กับ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด 

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ย้อนกลับไปในปีที่แล้วที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีปรับตัวลดลงอย่างหนัก ขณะที่ปีนี้ก็ปรับตัวฟื้นขึ้นมาได้ค่อนข้างดี อะไรคือจุดสำคัญที่ทำให้ตลาดคริปโตปรับตัวขึ้นลงแรงขนาดนี้และหลังจากนี้มองต่ออย่างไรว่าตลาดนี้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า

สำหรับ “ประชาชาติเวลท์ เล่าเรื่องการลงทุน” EP.21 นี้จะร่วมพูดคุยกับ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด

Q : สรุปภาพรวมตลาดคริปโตเคอร์เรนซีตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้  อะไรคือจุดสำคัญที่ทำให้ปรับตัวขึ้นแรงลงแรงแบบนี้ แล้วหลังจากนี้มองต่ออย่างไรว่าตลาดนี้จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า

ในแง่ของตัวตลาดผมขอแยกเป็นตลาดให้บิตคอยน์เป็นตัวแทนของตลาด Crypto Market ทั้งหมดเลย แล้วก็ในแง่ของอีกตลาดหนึ่งก็คือตลาด Traditional Assets หรือว่าสินทรัพย์ที่มีมาอยู่ก่อนบิตคอยน์ สองสินทรัพย์ประเภทนี้มีความผูกโยงกันในหลายมิติด้วยกัน แต่มิติหนึ่งที่ทำให้ตลาดบิตคอยน์ ตัวคริปโตเคอร์เรนซีทั้งตลาดปรับฐานลงมาเมื่อปีที่แล้วมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ทำให้มีการดูดสภาพคล่องออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเราจึงเห็นหุ้นเทคโนโลยี หุ้นเติบโต (growth) รวมถึงบิตคอยน์มีการปรับฐานมา

ต้องบอกว่าตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นที่เป็นพวกสินทรัพย์เสี่ยง (Risky assets) คือหุ้นเติบโต (growth) หุ้นเทคโนโลยีรวมถึงบิตคอยน์อยู่ในขาของการกลับมาเป็นขาขึ้น คำถามคือเกิดจากอะไรถ้าอธิบายด้วยตัวภาวะเศรษฐกิจที่มีมาก็คือตลาดและก็นักลงทุนเริ่มมีการ Timing กันว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปเยอะมากกว่านี้เท่าไหร่ มุมหนึ่งคือมันจะคอนเฟิร์มว่าตลาดหุ้นอเมริกา ตลาดหุ้น NASDAQ หุ้น 7 นางฟ้าที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อน S&P500 ขึ้นมารวมถึงบิตคอยน์และตลาดคริปโตตัวอื่น ๆ ที่วิ่งขึ้นมามันมีเหตุผลคือมันเป็นเพราะดอกเบี้ยและเงินเฟ้อมันกำลังจะปรับตัวลงแล้ว

Q : เหตุผลอะไรที่หลังจากนี้เรามองว่าจะทำให้พอปรับตัวขึ้นมาแล้วจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีก

สำหรับตัวคริปโตเคอร์เรนซีมันมีมีวิธีการดูในหลาย ๆ มิติด้วยกัน มิติหนึ่งเขาเรียกว่าวิธีการดูเรียกว่า MVRV หรือว่า Market Value To Realize Value Ratio อัตราส่วนนี้เป็นตัวที่นิยมที่เอามาดูตัวบิตคอยน์เพื่อดูว่าตอนนี้ขนาดของตัวบิตคอยน์ ขนาดตัว Market cap. ของมันเมื่อเทียบกับการใช้งานจริง หรือ Transaction ที่เกิดอยู่บน On Chain จริงมันมีจำนวนปริมาณมากขนาดไหน

ตัวที่ 2 คือเขาเรียกว่า Bitcoin Dominance นะครับ Bitcoin Dominance ก็คือว่าบิตคอยน์มันคือเงินสกุลแรกที่เป็นตัวสกุลแรกของโลก หลังจากนั้นมามันก็มีเงินสกุลอื่นออกมาเขาก็เอามาเปรียบเทียบกันครับว่า Ratio ของตัวบิตคอยน์เมื่อเทียบกับ Crypto Market ตอนนี้มันอยู่ที่เป็นยังไง

ส่วนใหญ่เขาบอกว่าตอนนี้คือถ้าตัว Bitcoin Dominance มีสัดส่วนเยอะคือบิตคอยน์มี Market cap ใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับ Crypto Market ทั้งหมด ถ้ามีเยอะเมื่อไหร่ตลาดมักจะอยู่ในขาลง เพราะมันเเปลว่าคริปโตตัวอื่น ๆ ตายจากตลาดไปแล้ว ตอนนี้คนก็เลยมาถือแต่ตัวที่เเบบว่าเป็นพระเอกของยุคนั่นก็คือตัวถือบิตคอยน์

แต่ถ้าเมื่อไหร่ตัวคือตัว Bitcoin Dominance สัดส่วนมันลดลงมันแปลว่าคนกล้าเอาเงินไปลงทุนในคริปโตตัวอื่น ๆ เพราะฉะนั้น Bitcoin Dominance ไม่ได้หมายความเพราะ Potion มันเด้งขึ้นมันแปลว่าบิตคอยน์ดีนะมันไม่ใช่มันแปลว่าตลาดคริปโตในภาพรวมไม่ดี ซึ่งต้องบอกว่า 2 อย่างนี้ตอนนี้มันอยู่ที่เขาเรียกว่าอยู่ตรงกลางระหว่างการตัดสินใจมันหมายความว่าอะไรก็คือ Bitcoin Dominance ตั้งแต่ยุค Define แล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วก็ FTX มีปัญหารวมถึงเหรียญคริปโตอย่าง LUNA มีปัญหาจนถึงขั้นปิดตัวไปตอนนั้นมันทำให้ bitcoin dominance ตัวนี้ปรับตัวสูงขึ้นมา แล้วการใช้งานคือมันดึงให้คนที่เป็น Speculator หรือนักเก็งกำไรออกคริปโตไปค่อนข้างเยอะ

ในขณะที่นักลงที่พอเจอเหตุการณ์ FTX ที่มีปัญหาคนที่เขาเรียกว่าเป็นคนที่เข้าใจกลไกของตัวคริปโตเคอร์เรนซีจริง ๆ เขาก็ไม่กล้าที่จะเอาเงินคริปโตของตัวเองไม่ว่าจะเป็นสกุลไหนฝากไว้อยู่บน On Chain หรือฝากไว้ที่ Exchange มันเลยทำให้ Transaction หมุนเวียนในระบบมันลดลง พอมันเป็นแบบนี้มันก็เลยทำให้คนสงสัยว่าถ้าเป็นแบบนี้แล้วตลาดคริปโตจะวิ่งขึ้นไปในต่อ มีแต่คนถอนออกไปแล้วไปอยู่ข้าง ๆ แล้วใครจะมาเป็นคนลากขึ้นไป

คำตอบก็คือว่าด้วยความที่ปริมาณบิตคอยน์มันอยู่ข้างนอก คือคนออกถอนออกไปอยู่ใน Hardware Wallet เยอะมากขึ้นถ้ามันมีความต้องการใหม่เพิ่มเข้ามาผมคิดว่าการลากขึ้นจะมีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นแรงสาเหตุเป็นเพราะว่า Supply ใน Exchange มันน้อยลงถ้าคนต้องการแล้วเขาอยากจะซื้อบน Exchange บนถ้ามีแรงเก็งกำไรนะด้วยปริมาณเงินเท่าเดิมที่เคยสมมุติว่าเคยอยากซื้อตอนปี 2563-2564 (2020-2021) ถ้ามันวิ่งขึ้นมาก็จะมีโอกาสวิ่งขึ้นมาได้อันนี้คือเรื่องที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นมองว่ามันอยู่ที่ว่าตอนนี้มันจะมีปัจจัยอะไรที่จะมากระตุ้นให้ความต้องการตัวบิตคอยน์นั้นกลับมา

ซึ่งต้องบอกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามันมีอยู่เรื่องหนึ่งนั้นก็คือแบล็กร็อก (BlackRock) พยายามยื่นกับ SEC หรือว่า ก.ล.ต.สหรัฐในการที่จะขอจดทะเบียนกองทุนคริปโตแบบ Spot ไม่ใช่แบบ Futures เป็นกองทุน bitcoin ETF รายแรกของโลกให้ได้ คนก็เลยมองว่า BlackRock สามารถตั้งกองทุนได้มันก็แปลว่าเงินจากสกุล US dollars สามารถลงทุนในบิตคอยน์ได้โดยที่ไม่ต้องไปทำเป็น Peer-to-peer Transfer ไม่ต้องไป Converse ไม่ต้องไปลงทุนใน Exchange ของพวกคริปโตก็สามารถลงทุนได้

เพราะฉะนั้นปริมาณมันน่าจะเพิ่มขึ้น อันนี้มันเลยเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คริปโตคึกคักในช่วงก่อนหน้านี้ แล้วพยายามยืนเหนือ 30,000 เหรียญต่อ BTC ให้ได้ แต่ล่าสุดก็ยังยืนไม่ได้ก็เพราะว่า ก.ล.ต.สหรัฐก็ยังปฏิเสธ (Reject) อยู่อย่างต่อเนื่อง ก็คือยังไม่ให้แต่ความพยายามนี้คิดว่าจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าคำว่าไม่ให้ไม่ได้ปฏิเสธนะว่าการจัดตั้งกองทุนบิตคอยน์แบบนี้เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เขาบอกว่าข้อมูลไม่เพียงพอ ฉะนั้นสิ่งที่ BlackRock พยายามทำต่อคือทำให้ข้อมูลเพียงพอเมื่อวันใดวันหนึ่งที่ข้อมูลเพียงพอผมคิดว่าจะจุดเริ่มต้นของขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งเราอย่าลืมนะครับว่าพฤษภาคมปีหน้าปี 2567 (2024) จะเข้าสู่ขั้นตอนการ Halving อีกครั้งหนึ่ง การ Halving ก็คือคนที่ทำการขุดตัวบิตคอยน์จะได้ตัวเหรียญบิตคอยน์เป็นรางวัล (Reward) น้อยลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งโอกาสของการ Halving ในอดีตที่ผ่านมาทุกครั้งที่จะมีการ Halving ก่อน Halving ประมาณสัก 6 เดือนตลาดคริปโตจะกลับมาเป็นตลาดกระทิง (Bull Market) อีกรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันดูมีความหวังจาก 2 เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าขาขึ้นของบิตคอยน์เวลามันวิ่งมันก็ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่า Traditional Assets เพราะฉะนั้นใครเป็นสาย Believe In Cypto ว่ามันมีพื้นที่ของมันแล้วมันจะเป็น Investment Assets ที่เลี้ยงหรือว่าค้ำพอร์ตของเราได้ผมคิดว่าหลังจากนี้ไปต้องจับตา เพราะว่าขาขึ้นอาจจะกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่ามันจะแรงหรือเปล่าก็ตาม

Q : แนะนำนักลงทุนควรมีในพอร์ตสักเท่าไหร่ หรือว่าควรจะลงทุนอย่างไรดีเพราะว่าอนาคตอาจจะกลับมาบูมได้สำหรับนักลงทุนที่มีอยู่แล้วและคนที่ยังไม่เคยลงทุน

เรามีทางเลือกในการลงทุนใน Cypto Assets อยู่ทั้งหมด 3 ทางเลือก 1.ก็คือว่าก็ Converse เงินของเราจะไปลงทุนตาม Exchange ต่าง ๆ จะเปิด Binance จะเปิด Bitkub จะเปิด Satang Pro แล้วแต่ Bitazza แล้วแต่คุณ แล้วเลือกตัว Cypto Assets ตัวที่คุณชอบ ซึ่งในหลักการกระจายความเสี่ยงมันก็คล้าย ๆ กับเวลาเราลงทุนในหุ้น ถ้าคุณไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนมันดีวิธีการลงคือคุณควรจะซื้อ index ถูกไหมแล้วเดี๋ยว index มันก็จะไปเรียงตามว่าหุ้นขนาด Market cap ใหญ่สุดก็ตามมา

ตอนนี้วิธีการกลางก็คือก็พิมพ์ search ใน google เลย Cryptocurrency By Market Cap แล้วคุณก็จะเห็นว่าสัดส่วน (Proportion) ใครใหญ่สุดนั่นก็คือบิตคอยน์ เพราะฉะนั้นคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนใน Cypto Assets ก็ควรจะมีบิตคอยน์ในสัดส่วนเยอะที่สุดอันนี้คือถ้าลงบน Exchange

2.ก็คือคุณสามารถไปลงในหุ้นรายตัวที่เขาอาจจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโต อย่างเช่น ธุรกิจเหมืองหรืออาจจะไปลงอาจจะกำลังทำตัวโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวกับตัว Define โปรเจ็กต์ที่เกี่ยวกับ Web 3.0 ซึ่งต้องเอาไปอยู่ใน Cypto Market พวกนี้คุณไปหาหุ้นรายตัวพวกนั้นที่คุณแบบว่าเชื่อก็ได้ อันนี้คือเป็นการหาแบบระยะแรก (Early Stage) เป็นการหาแบบหุ้นสิบเด้งร้อยเด้งอันนี้ต้องไปทำความเข้าใจเพิ่มเติม

มีอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะลงทุนใน Cypto Assets ได้ก็คือลงทุนผ่านกองทุน คุณก็จะถามว่าลงได้หรือในว่า BlackRock มันจะยื่นขอ ก.ล.ต.แล้วไม่ผ่านไม่ใช่หรอ วิธีการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนผ่านคริปโตอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่ไปลงทุนในกองทุนที่ไปซื้อคริปโตแต่เขาจะไปลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโต บล็อกเชน (Blockchain) หรือคริปโตเคอร์เรนซีอีกทีหนึ่ง