นักเศรษฐศาสตร์ KKP ชี้ ครม.อนุมัติมาตรการลดแลกแจกแถม กระทบวินัยการเงินการคลัง

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

“ดร.พิพัฒน์” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งข้อสังเกตหลัง ครม. อนุมัติมาตรการลด แลก แจก แถม ชี้รัฐบาลเสพติดการขาดดุล ฟันธงกระทบวินัยการคลัง หวั่นส่งผลต่อต้นทุนการเงินภาคธุรกิจ

วันที่ 14 กันยายน 2566 ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสซ์เฟซบุ๊ก “Pipat Luengnaruemitchai” ระบุว่า “วินัยการคลัง” เมื่อรัฐบาลเสพติดการขาดดุล

การประชุม ครม.เมื่อวานนี้ นอกเหนือจากการอนุมัติมาตรการลด แลก แจก แถมทั้งหลายที่ต้องใช้เงินทั้งในงบประมาณ (ลดภาษีสรรพสามิต) และกลไกอื่น ๆ

รัฐบาลได้อนุมัติกรอบการคลังระยะปานกลาง (medium term fiscal framework) ที่ควรจะเป็นกรอบการดำเนินงานของรัฐบาล และบอกกับนักลงทุนว่ารัฐบาลมีแผนในการจัดการการเงินอย่างไรในอนาคต

มีข้อน่าสนใจสามเรื่อง

หนึ่ง มีการปรับเพิ่มการขาดดุลงบประมาณปีหน้าเพิ่มขึ้นจาก 5.93 แสนล้าน เป็น 6.93 แสนล้าน เพิ่มงบประมาณขึ้น 1.3 แสนล้าน และเพิ่มประมาณการรายได้ขึ้นอีกนิดหน่อย

“ผมสงสัย แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นการสร้างช่องว่างเพื่อใส่มาตรการแจกเงิน 5.6 แสนล้าน ซึ่งการขาดดุลก็เกือบเต็ม max ตามกรอบ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็มีข้อสงสัยอยู่ว่าเราจะหาเงินจากไหนมาชดเชยมาตรการที่เหลืออีก 4.3 แสนล้าน เข้าใจว่าจะให้ธนาคารของรัฐออกไปก่อน และตั้งงบประมาณชดเชยทีหลัง แต่ก็ถูกจำกัดด้วยกรอบมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่อาจจะต้องยกขึ้น แต่อาจจะยกขึ้นได้ไม่มากนัก ที่เหลือจะให้ใครออกก่อน หรือต้องขายอะไรทิ้ง”

ประเด็นที่สอง คือมีการปรับกรอบการขาดดุลงบประมาณในอนาคตขึ้นทั้งแผง จากเดิมที่เราคาดกันว่าว่าจะค่อย ๆ ปรับการขาดดุลงบประมาณลดลง และจะพยายามทำงบประมาณ “สมดุล” ในระยะยาว แผนดังกล่าวโดนใส่ลิ้นชักไปก่อน

“สงสัยว่านี่คือน่าจะเป็นการตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยการแจกเงิน ที่เราคงต้องใช้หนี้ปีละ 0.6% ของ GDP ไปอีกสี่ห้าปีหรือเปล่า แต่เหมือนว่ารัฐบาลกำลังคาดว่าจะไม่ปรับลดงบประมาณอื่น ๆ ลง หรือหารายได้ใหม่เพื่อชดเชยเลยหรือเปล่า”

สามคือ รัฐบาลคาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นไปแถว ๆ 65% ของ GDP จากเดิมประมาณ 61% และกดไม่ลงตามที่คาดก่อนหน้านี้ และไปใกล้เพดานระดับ 70% ของ GDP ที่เราเพิ่งจะยกขึ้นมาไม่นาน ซึ่งจะทำให้ buffer ทางการคลังเพื่อรองรับ shock ในอนาคตมีน้อยลง

“ถ้านี่คือผลจากการแจกเงิน วาทกรรมที่บอกว่า เราสามารถแจกเงินได้ โดยไม่กระทบวินัยการคลัง ไม่เป็นภาระงบประมาณนั้นเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ ยังข้างเคียงอีก เช่น ในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะปรับตามอัตราดอกเบี้ยนอกประเทศ แต่อีกส่วนอาจจะสะท้อนความเสี่ยงด้านการคลังและ supply ของพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการเงินของรัฐบาลและเอกชนไทยก็ปรับตัวสูงขึ้น”

นอกจากนี้ การใช้เงินนอกงบประมาณ ให้แบงก์รัฐออกเงินไปก่อน ก็อาจจะทำให้ต้องมีการระดมสภาพคล่องจนกระทบต่อต้นทุนการเงินในตลาดเพิ่มขึ้นไปอีกหรือไม่

“จนน่าคิดนะครับ ว่ากระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อจะออกมาเขย่าปรับมุมมองต่อ rating ของไทยอีกหรือเปล่า”

นอกจากนี้ การคาดดุลการคลังที่สูงขึ้น และการอุดหนุนราคาน้ำมันและค่าไฟ อาจจะทำให้การดุลบัญชีเดินสะพัดที่เราคาดว่าจะดีขึ้น แย่ลงไปจนกระทบต่อค่าเงินได้เหมือนกัน เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของเรากับ ตปท.สูงเหลือเกิน

“หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีไม่ควรนั่งควบ รมว.คลัง เพราะ รมว.คลังควรจะเป็นคนคุมกระเป๋าเงินของรัฐบาล และควรเป็นสติที่คานรัฐบาล ว่าการใช้เงินมีข้อจำกัด และวินัยของการใช้เงินควรเป็นอย่างไร” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP ระบุ