เก็บภาษีลงทุนต่างประเทศคุ้มค่าหรือ? คำถามจาก “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” กูรูกฎหมายภาษี

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒพงศ์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด และในฐานะผู้เชี่ยวชาญกฎหมายภาษี ได้เขียนบทความ เสนอให้รัฐบาลพิจารณา กรณีการเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ ว่าด้วยเรื่อง “คำสั่งของกรมสรรพากร กับแหล่งเงินได้ต่างประเทศ : คุ้มค่าหรือไม่?

โดยเสนอให้รัฐบาลพิจารณา 3 ประเด็น คือ 1.ความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งกรมสรรพากรดังกล่าว 2.ความคุ้มค่าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย  และ 3.ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีจากแหล่งภาษีเงินได้จากต่างประเทศที่เป็นธรรมและเหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์หรือฮ่องกงได้

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒพงศ์ ระบุว่า คําสั่งกรมสรรพากร ป161/2566 ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่กําหนดให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ในต่างประเทศ ไม่ว่าจากการทํางานหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ หากมีการนําเงินได้ดังกล่าวเข้ามาใน ประเทศไทยว่าในปีภาษีใดก็จะต้องนํามารวมคํานวณภาษีเงินได้ในปีที่นําเข้า

โดยจะเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ถึงแม้รัฐบาลจะมีจุดมุ่งหมายในการปิดช่องว่างทางกฎหมายและเพิ่มรายได้ภาษี แต่คําสั่งนี้มีความ ท้าทายทั้งในมิติความชอบด้วยกฎหมาย และความชัดเจนของแนวปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลักกฎหมาย : การตีความ

มาตรา 41 วรรค 2 ของประมวลรัษฎากร เป็นหลักการเก็บภาษีเงินได้จากหลักถิ่นที่อยู่ของผู้มีเงินได้ หมายความว่าใครก็ตามที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตั้งแต่180 วันในปีภาษีหรือปีปฏิทินใด และมีเงินได้เนื่องจาก หน้าที่งานหรือกิจการที่ทําในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินในต่างประเทศ ต้องนํารายได้นั้นมาเสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อมีการนําเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกัน ทั้งนี้มาตรา 41 วรรค 2 ไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่า ผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศและมีการนําเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันนั้นมีหน้าที่ต้องยื่นเสียภาษีอากรแต่เป็นการตีความกฎหมายตั้งแต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้

คําสั่งกรมสรรพากร ป.161/2566 ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 ฉบับนี้ ได้ยกเลิกการตีความของมติ กพอ ของกรมสรรพากร ครั้งที่ 2/2528 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 ที่เคยมีแนวการตีความไว้ว่า หากเงินได้ดังกล่าวมาจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศจะนํามาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยเมื่อมีการนําเข้ามาในปีภาษีเดียวกัน ส่วนใหญ่ผู้มีเงินเหล่านั้นก็จะนําเงินได้เข้ามาคนละปีภาษี ซึ่งถือว่าเป็นการวางแผนภาษี (TaxPlanning) ที่ถูกกฎหมายและใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของผู้เสียภาษี  โดยกรมสรรพากรยอมรับมาตลอดเวลา 38ปี และยังสอดคล้องกับคําอธิบายกฎหมายภาษีอากรฉบับเดิมตั้งแต่มาตรานี้มีผลใช้บังคับด้วย

ผมไม่ได้คัดค้านการจัดเก็บภาษีเงินได้ของผู้มีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ แต่ผมอยากให้รัฐบาลพิจารณา 3 ประเด็น คือ

  1. ความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งกรมสรรพากรดังกล่าว
  2. ความคุ้มค่าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
  3. ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีจากแหล่งภาษีเงินได้จากต่างประเทศที่เป็นธรรมและเหมาะสม เป็น ประโยชน์ต่อประเทศ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์หรือฮ่องกงได้

ประเด็นที่ 1 ความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งสรรพากร ป.161/2566

การที่กรมสรรพากรออกคําสั่ง ป.161/2566 ที่เปลี่ยนการตีความที่มีมากว่า 38 ปี เป็นการใช้คําสั่งตีความ กฎหมายภาษีอากรแทนที่จะเสนอแก้ไขกฎหมายเป็น พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ. คําสั่งดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย ทั้งนี้เพราะการออกคําสั่งดังกล่าวตีความกฎหมายผิดหลักการของการตีความกฎหมายภาษีอากร และ เป็นการขยายการตีความกฎหมายของฝ่ายบริหาร (หรือกรมสรรพากร) เอง

โดยหลักการตีความกฎหมายภาษี อากรนั้น หากสามารถตีความได้หลายนัย ต้องตีความโดยเคร่งครัด และหากมีข้อสงสัยก็ต้องตีความเป็นคุณกับผู้ เสียภาษีอากรแล้ว หากเมื่อรัฐบาลคิดว่ากฎหมายมีช่องว่าง ก็ต้องตราเป็นกฎหมายใหม่ โดยกรณีนี้ผู้มีอํานาจตีความกฎหมายควรเป็นศาลภาษีอากร ไม่ใช่กรมสรรพากรเอง

ทั้งนี้ผมขอยกความเห็นจากนักกฎหมายภาษีอากรในประเทศไทยหลายๆท่าน รวมทั้งคําอธิบายจากตํารา กฎหมายภาษีอากรที่พวกผมและนักกฎหมายได้ใช้เป็นหลักการตีความกฎหมายเป็นเวลานาน ดังนี้

1.ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม นักกฎหมายที่เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นอาจารย์ที่มี ความรู้ความชํานาญทางภาษีอากรและเป็นอดีตประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ ความเห็นต่อคําสั่งนี้ไว้ว่า เป็นการออกคําสั่งที่ไม่ชอบ เพราะเป็นการตีความกฎหมายภาษีอากรที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ หลักการตีความกฎหมายภาษีอากรต้องตีความโดยเคร่งครัด หากตีความได้หลายนัย ต้องตีความในทางที่เป็นคุณกับผู้เสียภาษีอากรเหมือนกัน เช่นกรณีที่ว่านี้ที่สามารถตีความได้ 2 นัยว่า

  • กรณีที่1 การนําเงินได้เข้ามาไม่ว่าในปีภาษีใดก็ต้องเสียภาษี และ
  • กรณีที่ 2 การตีความของมติ กพอ ตั้งแต่แต่ปี 2528 เป็นการตีความที่เป็นคุณกับผู้เสียภาษี และผู้ เสียภาษีถือเป็นแนวปฏิบัติมาตลอด

ดังนั้น คําสั่งกรมสรรพากรที่ให้ตีความตามกรณีที่ 1 โดยตีความว่าให้เสียภาษี ไม่ว่าจะนําเงินได้พึงประเมินจากต่างประเทศเข้ามาในปีภาษีใดจึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ คําสั่งกรมสรรพากรที่ป 161/2566 ดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายหรือกฏ จึงไม่มีผลให้ผู้เสียภาษีต้องปฏิบัติตาม และถ้าคําสั่ง ดังกล่าวถือเป็นคําสั่งทางปกครอง ก็เป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบเนื่องจากให้เจ้าพนักงาน สรรพากรปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงไม่ใช่กฎหมายหรือกฎจึงไม่มีผลให้ผู้เสียภาษีต้องปฏิบัติตามเช่นกัน

2.นอกจากนี้ในบรรดาตํารากฎหมายภาษีอากร ไม่ว่าคําอธิบายประมวลรัษฎากรของอาจารย์แต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นของท่านศาสตราจารย์พิเศษ ไพจิตร โรจนวานิชและคณะ ที่เป็นตําราใช้มานานมากจนปัจจุบัน ก็ได้อธิบายความว่า แหล่งเงินได้ที่เกิดจากนอกประเทศไทย ถ้าจะต้องนํามาเสียภาษีในประเทศไทยนั้นต้องเข้าองค์ประกอบ 2 อย่าง

คือ ต้องเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีรวมระยะเวลาถึง 180 วัน และมีเงินได้พึงประเมินจากหน้าที่งานที่ทําในต่างประเทศ หรือกิจการที่ทําในต่างประเทศ หรือทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ และนําเงินได้เข้ามาในประเทศไทย โดยนําเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยเข้ามาในประเทศไทยในปีเดียวกัน แต่ถ้านําเงินได้พึงประเมินของปีก่อน ๆ เข้ามา ก็ไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร

3.ท่านอาจารย์โกเมนทร์ สืบวิเศษ อดีตอาจารย์กฎหมายภาษีอากร และเป็นผู้อํานวยการกฎหมาย กรมสรรพากรที่มีชื่อเสียง ก็ได้อธิบายไว้ในทํานองเดียวกันนอกจากนี้ยังมีตํารากฎหมายภาษีอากรอีกหลายเล่มที่ตีความทํานองเดียวกัน

ผมเองมีความเห็นเช่นเดียวกับคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญตามที่ได้ยกตัวอย่างมา โดยเฉพาะการตีความ กฎหมายภาษีที่ต้องตีความโดยเคร่งครัด และหากตีความได้ 2 นัย ก็ต้องตีความเป็นคุณแก่ผู้เสียภาษี อีกทั้งจาก การตีความในอดีตของกรมสรรพากรและจากตําราที่เป็นแนวทางการปฏิบัติของบรรดาผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา

ที่ผ่านมา ก็ใช้หลักว่าจะเสียภาษีเงินได้ต้องนําเข้ามาในปีภาษีเดียวกัน ดังนั้นหากรัฐบาลเห็นว่าการตีความมาตรา 41 มีช่องว่างในการตีความกฎหมายที่ทําให้ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศวางแผนหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) รัฐบาลก็ควรที่จะเสนอแก้กฎหมายให้ชัดเจนแทน

ประเทศไทยไม่เคยนําหลัก Global income มาใช้ และถ้าหากจะนํามาใช้ก็ต้องตราเป็นกฎหมายในการ จะเรียกเก็บภาษีดังกล่าว แต่ทั้งนี้ควรดูว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้เก็บภาษีแบบไหน เพราะประเทศสิงคโปร์และ ฮ่องกงต่างก็จะเก็บจากแหล่งเงินได้ในอาณาเขต (Territorial income) โดยจะไม่เก็บจากหลักแหล่งเงินได้จาต่างประเทศ (Offshore income) แถมเงินได้ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลและกําไรจากการลงทุน (Capitalgain) ก็ไม่เก็บภาษีอีกด้วย

ประเด็นที่ 2 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว : คุ้มค่าหรือไม่

โดยผมแบ่งเป็นเรื่องความชัดเจนในการปฏิบัติและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมดังนี้

1.ความชัดเจนและแนวทางการปฏิบัติ

คําสั่งดังกล่าวก็มิได้กําหนดวิธีการชัดเจนว่าเงินได้จากต่างประเทศจะเสียภาษีซ้ำซ้อนหรือไม่ เงินได้ ประเภทใดจะได้รับเครดิตหรือยกเว้นภาษีหรือไม่ อย่างไร

รวมถึงเงินที่นําไปลงทุนในตลาดทุนหรือซื้อ ทรัพย์สินในต่างประเทศจะถูกเก็บภาษีส่วนใด จะเก็บภาษีส่วนเกินหรือ Capital gain หรือเก็บภาษีเฉพาะส่วนดอกเบี้ยที่ได้รับ หรือกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเงินที่นําเข้ามาอาจจะไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าเป็นต้นเงิน หรือดอกเบี้ยหรือกําไร ซึ่งถ้าหากแบ่งแยกไม่ได้เช่นว่านี้ เงินได้ต้องตกอยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้า(35%)

ความไม่ชัดเจนในการเก็บภาษีตามมาตรา 48 ที่กําหนดไว้นั้นจะสร้างความกังวลให้กับคนไทยผู้มีเงินได้ในต่างประเทศ รวมถึงบรรดาชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยเกิน 180 วันที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไขของมาตรการ ส่งเสริมกรณีพิเศษที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้ ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกินร้อยละ 15-17 ของรายได้

ในระยะสั้นอาจมีเงินลงทุนเข้ามาเพื่อลงทุนในกองทุนหลักทรัพย์ในต่างประเทศในประเทศไทยแทนที่จะไปลงทุนโดยตรงของคนไทย แต่พวกที่มีเงินได้อยู่ต่างประเทศประเภท High Net Worth ก็คงไม่นํากลับเข้ามาลงทุนอีกเลย ยิ่งมีความไม่ชัดเจนมากเท่าไหร่ ยิ่งทําให้ไม่มีใครอยากนําเงินได้เข้ามาในประเทศไทยมากเท่านั้น

2.เมื่อเงินได้ไม่ถูกนําเข้าประเทศจะมีผลกระทบต่อประเทศไหม

คําสั่งนี้จะทําให้ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศส่วนใหญ่ ไม่นําเงินดังกล่าวกลับเข้ามาเพื่อใช้จ่ายหรือลงทุนใน อนาคตอย่างแน่นอน และประเทศที่จะได้ประโยชน์คือ ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ไม่ได้เก็บภาษีแบบ Global income โดยนักลงทุนหรือผู้มีเงินได้เหล่านี้ก็อาจจะโยกย้ายเงินไปฝากหรือลงทุนใน 2 ประเทศนี้ต่อไปในอนาคต โดยประเทศที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ คือ 2 ประเทศนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนไทยประเภท High Net Worth คงไม่นําเงินกลับเข้ามาอีกแต่จะไปลงทุนใน 2 ประเทศนี้แทน

ปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนต่างประเทศ (ไม่รวมอสังหาริมทรัพย์) จํานวน 55,963 ราย คิดเป็น มูลค่าเงินประมาณ 8,886 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังไม่นับชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยและมีแผนที่จะนําเงินเข้า มาในประเทศไทย

ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่นําเงินกลับมาด้วยเหตุของการเก็บภาษีเช่นว่านี้ จะทําให้เกิดผลกระทบต่อ เศรษฐกิจไทยในระยะยาว จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าภาษีเงินได้ที่ได้รับจะคุ้มค่าผลกระทบในระยะยาวหรือไม่

หากจะมีมาตรการใหม่ๆ ควรเป็นมาตรการที่เชิญชวนให้ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศ นําเงินได้กลับเข้ามา เพื่อมาเป็นค่าใช้จ่าย ลงทุนในประเทศไทยน่าจะเป็นมาตรการที่ดีกว่าคําสั่งการเก็บภาษีที่ไม่ชัดเจน และหาก รัฐบาลจะต้องจัดเก็บภาษี ก็ต้องมีกฎหมายละมาตรการการเสียภาษีอย่างชัดเจนและเป็นธรรม

รูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ

โดยทั่วไปบุคคลที่มีเงินได้อยู่ต่างประเทศจะหาวิธีการบริหารหรือวางแผนภาษี โดยไม่นําเงิน ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อมาใช้จ่าย ลงทุนโดยอาจมีรูปแบบซึ่งผู้ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ สถาบันการเงินในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ดังนี้

  • อาจเปิดบัญชีกับธนาคารในต่างประเทศ เวลาใช้จ่ายก็ไปใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศ
  • อาจจัดทําในรูปเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากนิติบุคคลโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า BackTo Back นําเงินได้ไปเป็นหลักประกันแล้วปล่อยกู้เข้ามาในประเทศไทย ทําให้เกิดกระบวนการเป็นหนี้เงินกู้แทนที่จะมีเงินลงทุน
  • นักลงทุนคนธรรมดาก็อาจจะจัดตั้งบริษัทในต่างประเทศ ใช้กองทุนรูปแบบต่างๆ ในต่างประเทศที่มีอัตราภาษีที่ต่ํา เช่น สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น

ประเด็นที่ 3 ข้อเสนอ ถ้ารัฐบาลจะเก็บภาษีควรทําอย่างไร

หากรัฐบาลมีความประสงค์จะเก็บภาษีเงินได้ที่อยู่ต่างประเทศตามหลักภาษีเงินได้ทั่วโลก (Global income) แบบสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยก็จะต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้ให้ชัดเจนตามประเภทเงินได้ ตามหลักแหล่งเงินได้ ตามหลักถิ่นที่อยู่ให้ชัดเจน

ทั้งนี้ อาจจะพิจารณาแก้ไขมาตรา 41 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถดําเนินการได้ด้วยการออกพระราชกําหนดหรือพระราชบัญญัติ ทั้งนี้ควรมีการกําหนดรายละเอียด อัตราภาษีที่ไม่สูงเกินไป วิธีการคํานวณและอัตราต้องกําหนดให้ชัดเจน และต้องไม่เก็บภาษีซ้ำซ้อนและดูเปรียบเทียบกฎหมายของสิงคโปร์และฮ่องกง

ประเทศอินโดนีเซียเคยมีมาตรการที่จะให้นักลงทุนชาวอินโดนีเซียที่มีเงินฝากอยู่ที่สิงคโปร์นําเงินกลับเข้ามาในอินโดนีเซีย โดยมีมาตรการเรื่องการนิรโทษกรรมภาษี และเก็บภาษีในอัตรา ที่ไม่สูงมากผมเองได้เคยเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างและเคยเสนอร่างประมวลกฎหมายรัษฎากรฉบับใหม่ในขณะที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยใช้โครงสร้างประมวลกฎหมายรัษฎากรของประเทศสิงคโปร์เป็นต้นแบบ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในภูมิภาคได้ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา

ผมมีข้อเสนอดังนี้ครับ

1. ในช่วงเวลาก่อนคําสั่งมีผลใช้บังคับ ขอให้ส่งไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ตามมาตรา 13 ทวิและมาตรา 13 ฉ ของประมวลรัษฎากร เพื่อวินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งนี้ว่าชอบ ด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือให้คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษพิจารณา มิเช่นนั้นคงมีผู้เสียภาษีไม่ เห็นด้วยและนําคดีขึ้นสู่ศาลภาษี ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายและเวลาที่อาจไม่คุ้มค่าแก่ทุกฝ่าย

2. ให้มีการพิจารณาผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย โดยเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าภาษีที่คาดว่า จะได้รับจากการดําเนินการตามคําสั่งนี้ เทียบกับภาษีเงินได้ที่หายไปจากการที่คนไทยนําเงินไป ลงทุนที่ประเทศอื่นแทน รัฐบาลไทยควรทําอย่างไรและพิจารณาความคุ้มค่าของคําสั่งดังกล่าว

3.ในขณะเดียวกัน หากต้องการจะจัดเก็บภาษีจริงๆ รัฐบาลก็ควรแก้ไขกฎหมายวิธีการเก็บภาษีให้ ชัดเจนไม่ใช่แก้ทีละจุดเหมือนการปะผุบ้านแต่ควรสร้างบ้านใหม่ โดยควรต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งระบบ และสร้างความชัดเจนของการเสียภาษีในแต่ละประเภทเงินได้ให้อยู่ใน อัตราที่เหมาะสม โดยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยนํางานศึกษาของสภาปฏิรูปแห่งชาติและของ IMF มาพิจารณาไปพร้อมกัน

ในขณะนี้ที่ประเทศไทยเรียกร้องให้มีการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น การปรับโครงสร้างภาษีของไทยเพื่อ ความเป็นธรรมและโปร่งใสเป็นและควรส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคนี้

คําสั่งดังกล่าวของกรมสรรพากรฉบับนี้ ผมว่าภาษีที่จะได้ไม่คุ้มค่ากับโอกาสที่เสียไปของประเทศไทยในปัจจุบันครับ