ก.ล.ต. เชือดแก๊งปั่นหุ้น TIGER ปรับ 13.7 ล้าน-ห้ามนั่งกรรมการ

ก.ล.ต.

ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 ราย กรณีสร้างราคาหุ้น TIGER ปรับ 13.7 ล้านบาท-ห้ามนั่งกรรมการและผู้บริหาร

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติม พบการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดของบุคคล 3 ราย ได้แก่ นายอรรถวุฒิ สกนธวัฒน์ นางสุจีรา สกนธวัฒน์ และนางสาวพิไลพิศ อัศวสุวรรณ์ กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) ในช่วงระหว่างวันที่ 16 พย.-28 ธ.ค. 2561

โดยนายอรรถวุฒิและนางสุจีรา ได้ร่วมกันส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น TIGER ในลักษณะการทำราคาปิด การเคาะซื้อผลักดันราคาให้สูงขึ้น การครองคำเสนอซื้อและขาย และจับคู่ซื้อขายกันเอง ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายอรรถวุฒิ นางสุจีรา และนางสาวพิไลพิศ

ซึ่งนางสาวพิไลพิศ ยินยอมให้นายอรรถวุฒิและนางสุจีรา ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีเงินฝากธนาคารของตนในการซื้อขายและชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์ การร่วมกันส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น TIGER ของนายอรรถวุฒิและนางสุจีราในลักษณะดังกล่าว

ส่งผลให้ราคาหุ้น TIGER ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด โดยราคาเพิ่มจาก 3.50 บาท/หุ้น เป็น 4.50 บาท/หุ้น และปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.11 ล้านหุ้น เป็น 7.43 ล้านหุ้น

การกระทำของนายอรรถวุฒิและนางสุจีราดังกล่าว เป็นความผิดฐานสร้างราคาหุ้น TIGER ตามมาตรา 244/3 (1) และ (2) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

รวมทั้งใช้บัญชีหลักทรัพย์ของบุคคลอื่นในการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 297 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ส่วนการกระทำของนางสาวพิไลพิศ เป็นความผิดฐานยินยอมให้นายอรรถวุฒิและนางสุจีราใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารของตนเพื่อปกปิดตัวตนของนายอรรถวุฒิและนางสุจีรา อันเป็นการกระทำความผิดและมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 297 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง

ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์

โดยเรียกให้ชำระเงินรวม 13,750,500 บาท พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังนี้

1.ให้นายอรรถวุฒิ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,836,479 บาท กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 10 เดือน และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 20 เดือน

2.ให้นางสุจีรา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,836,479 บาท กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 6 เดือน และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

3.ให้นางสาวพิไลพิศ ชำระค่าปรับทางแพ่งและชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้นรายละ 77,542 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 4 เดือน

การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้น จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง