ปีที่ผ่านมา ครัวเรือนและภาคธุรกิจต้องเผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่มองไปข้างหน้าในปี 2567 นี้ หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงค้างอยู่ระดับสูงไปทั้งปี
ดอกเบี้ยสูงนานจับตาเบี้ยวหนี้พุ่ง
“ดร.อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะหยุดขึ้นแล้ว แต่ในภาวะดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในระดับสูงนาน เป็นความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- บริษัทดัง ประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และภาคบริการที่อิงกับภาคเกษตร ที่ยอดคำสั่งซื้อลดลง แต่ต้นทุนการเงินปรับขึ้นไปก่อนหน้า รวมถึงกลุ่มเปราะบาง มีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางและล่าง เริ่มมีปัญหา สะท้อนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ตลอดจนกลุ่มที่มีการก่อหนี้สูง เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่จะเกิดขึ้นในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางมากกว่าขนาดใหญ่
“ดอกเบี้ยน่าจะหยุดขึ้นแล้ว แต่จากดอกเบี้ยที่ค้างในระดับสูงนาน ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ได้ แม้ว่าธนาคารจะมีการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ แต่ยังคงมีกลุ่มเปราะบางที่เริ่มเห็นสัญญาณสินเชื่อที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) มากขึ้น และเริ่มเห็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง มีปัญหามากขึ้น
ดังนั้นมองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อาจจะต้องเหนื่อยและทนก่อน หวังว่าครึ่งปีหลังภาคส่งออกและท่องเที่ยวจะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตได้ดีขึ้น”
ชี้ กนง.มีโอกาสหั่นดอกเบี้ย
“ดร.อมรเทพ” กล่าวว่า ตนมองว่า ในปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง จากปัจจุบัน 2.50% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี ภายในไตรมาสที่ 3 หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับดอกเบี้ยลง และ ผ่อนคลายนโยบายการเงินของทั่วโลก และภายใต้สมมุติฐานว่าไม่มีนโยบายดิจิทัลวอลเลต
โดยปัจจัยสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยมี 3 ปัจจัย คือ 1.เศรษฐกิจที่โตช้าและโตต่ำ โดยคาดว่าปีนี้ GDP จะโตที่ 3.1% (ไม่รวมดิจิทัลวอลเลต) แม้ว่าส่งออกและท่องเที่ยวสนับสนุน แต่กำลังซื้อระดับล่างมีปัญหา 2.อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและคาดว่าจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3%
โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรก และ 3.ตลาดการเงินยังมีปัญหาหนี้เสีย (NPL) และ SMยังปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ได้ทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน
ลูกหนี้ 70% แบกค่างวดเพิ่ม
“ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล” รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้ คาดว่า กนง.จะไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ และดอกเบี้ยอาจอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น สถาบันการเงินคงไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว แต่อาจจะปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษ
อย่างไรก็ดี ดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับ 2.50% ต่อปี ยอมรับว่าอาจจะมีผลต่อลูกหนี้บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อที่อ้างอิงดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)เช่น สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อที่อยู่อาศัยบางส่วนที่พ้นช่วงอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้นทุนดอกเบี้ยของภาคธุรกิจ จะคิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 5% ของต้นทุนทั้งหมด ถือว่ายังเป็นส่วนน้อย แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สัดส่วนสินเชื่อที่มีการอ้างอิงดอกเบี้ยลอยตัว จะอยู่ที่ 60-70% ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด และที่เหลืออีก 20-30% จะเป็น Fixed Rate เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ และนาโนไฟแนนซ์จะไม่กระทบ เนื่องจากมีเพดานดอกเบี้ยกำหนดไว้อยู่แล้ว
“ในส่วนสินเชื่อบ้าน แม้ว่าแบงก์จะมีการคำนวณดอกเบี้ย Buffer เผื่อไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมา ดอกเบี้ยขึ้นเกินสัญญาเดิมไปแล้ว ทำให้ค่างวดปรับเพิ่มขึ้น กลุ่มนี้แบงก์น่าจะทยอยปรับไปแล้ว และลูกค้าที่ไม่ไหว น่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดอายุการชำระหนี้แล้ว ส่วนภาคธุรกิจก็ต้องมาดูผลกระทบเป็นรายอุตสาหกรรม แต่โดยเฉลี่ยต้นทุนดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 5% ของต้นทุนทั้งหมด ที่เหลือจะเป็นต้นทุนค่าแรง วัตถุดิบ และค่าเช่าสถานที่”
ปรับขึ้นขั้นต่ำจ่ายหนี้บัตร
ขณะที่ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับมาตรการปรับชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต (Minimum Payment) จาก 5% เป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป โดยที่ผ่านมา ธปท.ได้สื่อสารไปยังผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต 12 ราย เพื่อให้สื่อสารไปยังลูกค้า รวมถึงให้เตรียมมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในการเปลี่ยนวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และคิดอัตราดอกเบี้ย 16% ต่อปี กรณีที่ลูกค้าไม่สามารถชำระได้
“อธิศ รุจิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเซ็นทรัล เดอะวัน (GCS) และในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ระบุว่า การปรับมาตรการน่าจะมีผลกระทบค่อนข้างมาก แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน อาจจะต้องรอดูสถานการณ์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
ด้าน “ฐากร ปิยะพันธ์” ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) ระบุว่า คาดว่าจะมีลูกค้าได้รับผลกระทบประมาณ 5% ของฐานลูกค้าบัตรเครดิต 8 แสนใบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชำระขั้นต่ำ อาจจะมีบางส่วนที่ชำระไม่ไหว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังสามารถชำระได้
อย่างไรก็ดี ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าไว้รองรับอยู่แล้ว