Krungthai CIO ชี้หุ้น-ทองคำ น่าลงทุนเดือน มี.ค.รับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง

Krungthai CIO ชี้ตลาดหุ้น-ทองคำ เป็นสินทรัพย์น่าลงทุนในเดือนมี.ค. รับแรงหนุนตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง จากที่เฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยในปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ แนะหุ้นขนาดเล็กสหรัฐ-ยุโรป-อินเดีย เวียดนาม-อินโดนีเซีย-ไทย-จีน

วันที่ 21 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office) เปิดมองมุมการลงทุนเดือนมีนาคม 2567 มองตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อ แม้หลายตลาดทำสถิตินิวไฮ รับปัจจัยหนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงและเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวได้ ขณะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีติดไว้ในพอร์ต มีโอกาสปรับขึ้นอีก จากความเสี่ยงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

โดย Krungthai CIO วิเคราะห์ตลาดและการลงทุนประจำเดือนมีนาคม 2567 แนะผู้ลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางหลายประเทศ มองว่าฝั่งยุโรปน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนสหรัฐอเมริกา ตามทิศทางเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าสหรัฐ ส่วนไทยมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และนโยบายดิจิทัลวอลเลตยังไม่เกิดขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Krungthai CIO มีมุมมองคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น เพราะมีโอกาสปรับขึ้นต่อ แม้ว่าตลาดหุ้นหลักหลาย ๆ แห่งจะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นที่สิ้นสุดลง และเฟดน่าจะทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสขยายตัวต่อ โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจมีดังนี้

หุ้นขนาดเล็กสหรัฐ ที่ยังคง Laggard หุ้นขนาดใหญ่อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะทำจุดสูงสุดใหม่ แต่การปรับตัวขึ้นกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กอยู่ในระดับที่ไม่แพง ประกอบกับมุมมองเรื่อง “Soft Landing” ของเศรษฐกิจสหรัฐ และการที่รายได้ส่วนใหญ่ของหุ้นขนาดเล็กมาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้มองว่ารายได้มีโอกาสขยายตัวต่อ

ตลาดหุ้นยุโรป ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา ชี้ว่าเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่เริ่มกลับมาสู่ระดับปกติ ราคาหุ้นยังถือว่าไม่แพง

สำหรับตลาดเกิดใหม่ หุ้นอินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นตลาดที่น่าสนใจ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ในระดับสูงในปีนี้ จากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง กระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอินเดียและเวียดนามปรับขึ้นค่อนข้างดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่าน ทำให้ Upside จำกัด แนะนำให้อาศัยจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงในการเข้าลงทุน

ส่วนตลาดอินโดนีเซีย ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี นายปราโบโว ซูเบียนโต ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี คลายความกังวลตลาดจากการสานต่อนโยบายต่าง ๆ ประกอบกับราคาหุ้นที่ยังไม่แพง P/E อยู่ที่ 13.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนผิดหวังผลประกอบการ และตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2566 ที่โดยรวมออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้รับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไปพอสมควร ทำให้ Downside Risk จำกัด จึงมองว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัว ถ้าร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้รับการอนุมัติและเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้

ตลาดหุ้นจีน แนะนำ Trading Buy มองว่า Sentiment การลงทุนดีขึ้นจากมาตรการภาครัฐที่ทยอยออกมาเอื้อต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ Healthcare Technology และ Global REITs โดยกำไรหุ้นกลุ่ม Technology มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากกระแส AI เช่นเดียวกับกลุ่ม Healthcare ที่กำไรมีแนวโน้มขยายตัวได้สูงจากนวัตกรรมยาใหม่ ๆ ที่รักษาโรคที่รักษาได้ยากและยังไม่มีมาก่อน ส่วนกลุ่ม Global REITs ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง

สำหรับสินทรัพย์อื่น ๆ Krungthai CIO มีมุมมองเป็นบวกต่อราคาน้ำมัน มองว่า ราคาน้ำมัน WTI จะปรับตัวในกรอบ 70-90 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ และสหรัฐ ในช่วงกลางปีหลัง ทำให้อุปทานตึงตัวมากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ยังเพิ่มขึ้น จากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจจีนที่ทยอยฟื้นตัว ส่วนราคาทองคำ มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดน่าจะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อไปอีกได้

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศและไทย เนื่องจากตลาดได้ปรับคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของดอกเบี้ยให้สมเหตุสมผลมากขึ้น ทำให้ Bond Yield ผันผวนน้อยลงและมีโอกาสปรับตัวลงได้ นอกจากนี้ ตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยในการกระจายความเสี่ยงได้ดี หากสมมติฐานเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้โตตามคาด และเปิดทางให้เฟดลดดอกเบี้ยได้มากกว่ามุมมองตลาด ขณะที่ตราสารหนี้ไทยจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง