“แม่ทองสุก” TOP 3 ยักษ์ค้าทอง ชี้เมกะเทรนด์ “ราคาทองคำขาขึ้น”

"นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ" ประธานกรรมการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด : ห้างทองแม่ทองสุก

ในภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองโลก “ทองคำ” ซึ่งถือเป็น save haven ของการลงทุน ทำให้ราคาทองคำปีนี้กลับมาสร้างความคึกคักให้กับนักลงทุนอีกครั้ง เมื่อสามารถทำนิวไฮในรอบ 6 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,500 เหรียญต่อออนซ์ และจากที่ราคาทองคำพุ่งสูง ทำให้ผู้ค้าทองรายใหญ่ต่างเทขายทองคำ จนทำให้ยอดส่งออกทองคำ 9 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่า 6,762 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 107.44% จนทำให้ “ผู้ค้าทอง” กลายเป็นหนึ่งในจำเลยของตัวการ “บาทแข็ง” ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

“ประชาชาติธุรกิจ” พูดคุยกับ “นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด หรือที่รู้จักในชื่อ “ห้างทองแม่ทองสุก” ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 1 ใน 3 ของไทย ฉายภาพแนวโน้มราคาทองคำระยะข้างหน้ากับปัจจัยต่าง ๆ และผลกระทบอุตสาหกรรมทองคำ จากมาตรการของ ธปท.

 

เมกะเทรนด์ “ทองคำขาขึ้น”


“นพ.กฤชรัตน์” เล่าว่า เมื่อ 6-7 ปีก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็น “บิ๊กไซเคิล” ของทองคำ เพราะราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 1,970 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ผลจาก “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” จึงมีการอัดฉีดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จำนวนมาก ทำให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 3 ปี แล้วก็ปรับตัวลดลงจนถึงจุดต่ำสุดเมื่อประมาณปี 2558 ที่ระดับราคา 1,046 เหรียญ/ออนซ์ จากนั้นก็ปรับตัวขึ้นมาจนปีนี้ที่ทำนิวไฮในรอบ 6 ปี

“ที่เล่าย้อนไปเพื่อให้เห็นว่า ราคาทองคำจบแนวโน้มขาลงในเมกะเทรนด์ไปแล้ว จะเห็นว่าระดับราคาต่ำสุดได้ยกตัวขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน จากจุดต่ำสุด 1,100 เหรียญ ปีก่อนขยับขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 1,200 เหรียญ ปีนี้จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,280 เหรียญ ขณะที่ราคาสูงสุดตอนนี้บวกลบอยู่ที่ 1,500 เหรียญ ขึ้นมา 220-270 เหรียญ แนวโน้มราคาทองคำปีนี้เป็นขาขึ้น โดยขึ้นมาแล้วจากต้นปีถึงปัจจุบัน 15% บางช่วงขึ้นไปถึง 18-19%”

“เทรดวอร์-ดอกเบี้ยขาลง” ดันราคาทอง

นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีราคาทองคำค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด สาเหตุสำคัญก็คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้ทองคำตอบรับในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (save haven) ขณะที่อีกปัจจัยก็คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เปลี่ยนจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นเมื่อปลายปีก่อน มาเป็นแนวโน้มขาลงในปีนี้

“การลงทุนในทองคำ นักลงทุนต้องใช้เงินมาก และเกือบทุกคนต้องใช้เงินกู้ ฉะนั้น พอลดดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายก็น้อยลง ราคาทองคำจะขึ้น พอมีสงครามการค้า ค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลง ซึ่งทองคำจะอยู่คนละฝั่งกับค่าเงินดอลลาร์เป็นปกติ”

นอกจากนี้ ปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ของสหรัฐที่ช่วง 5-6 เดือนแรกปีนี้ออกมาไม่ค่อยดี จนทำให้เฟดยอมลดดอกเบี้ย ช่วงนี้จึงเป็นช่วงสุกดิบของราคาทองคำ เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ซึ่งเกิดจาก 1.ตลาดรับรู้ข่าวดีจากการเจรจาทางการค้าไปแล้วจากฝั่งสหรัฐที่บอกว่าผลออกมาดี แต่ว่าหากดูฝั่งจีนยังไม่ได้พูดในทำนองเดียวกัน และ 2.เฟดยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องเบร็กซิตของสหภาพยุโรปที่เป็นปัจจัยแทรก

“บาทแข็ง” กดราคาทองในประเทศ

“ตอนนี้ราคาทองระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าเดา เพราะตอนนี้ใช้ทฤษฎีจับยากมาก เนื่องจากเป็นเรื่อง verbal (การออกมาให้ข่าว) อย่างเดียวเลย คือ ถ้าจีนออกมาบอกว่า ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็มีผลเลย ฉะนั้นราคาทองคำหลังจากนี้ขึ้นกับเงื่อนไขการเจรจาทางการค้า ที่ผมคิดว่าน่าจะออกมาทรง ๆ ไม่ได้ดีมาก คือ เจรจาการค้าไม่สำเร็จ ประกอบกับประเทศอื่นในโลก เช่น ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เศรษฐกิจเริ่มแย่ลง ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย คือ ทองคำมากขึ้น นั่นหมายความว่า ปีหน้าจะมีโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำขึ้นไปถึง 1,600 เหรียญได้”

“นพ.กฤชรัตน์” กล่าวว่า ราคาทองคำในประเทศของไทยปีนี้ ปรับตัวขึ้น 10-11% น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำโลก 6-7% เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตลอด ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าแล้ว 7% กระทบราคาทองคำในประเทศ อย่างไรก็ดี มองว่าปีหน้าค่าเงินบาทไม่น่าจะแข็งค่าขึ้นมากแล้ว

“ราคาทองบ้านเราขึ้นกับ 2 ปัจจัย คือ ราคาทองตลาดโลก กับค่าเงินบาท ซึ่งผมคิดว่าเงินบาทจะแข็งค่ากว่านี้ได้ไม่มาก คือ ไม่น่าจะหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”

โดยระยะสั้น ราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,480 เหรียญ แนวต้านอยู่ที่ 1,500 เหรียญ ส่วนระยะกลาง แนวรับที่ 1,475 เหรียญ แนวต้านอยู่ที่ 1,520 เหรียญ ส่วนราคาทองคำในประเทศ ระยะกลางถึงยาว แนวรับสำคัญอยู่ที่ 21,000 บาท ซึ่งไม่น่าหลุด แต่ต้องติดตามใกล้ชิด ส่วนแนวต้านระยะสั้น 21,500 บาท และระยะกลางถึงยาว 27,000 บาท

ทองคำไม่ใช่ต้นตอ “บาทแข็ง”

สำหรับกรณีที่ธนาคารประเทศไทย (ธปท.) ออกมาส่งสัญญาณว่า จะมีการทบทวนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการส่งออกทองคำ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับค่าเงินบาทมากเกินไป นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เชิญทางบริษัทเข้าหารือเช่นกัน ซึ่งก็ได้สะท้อนข้อเท็จจริงไปว่า การส่งออกทองคำคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6-7% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็เป็นช่วงพีกของการส่งออกทองคำแล้ว

ช่วง 3 เดือนที่เหลือปีนี้ การส่งออกทองคำคงไม่ได้มากแล้ว เนื่องจากราคาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก

นอกจากนี้ หลายครั้งที่ราคาทองคำตก ผู้ค้าทองคำมีการนำเข้าจำนวนมาก แต่ก็พบว่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ดี ดังนั้น การส่งออกทองคำจึงไม่น่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งการจะดูแลเรื่องค่าเงินบาทอาจจะต้องใช้เครื่องมือทางการเงิน หรือเครื่องมือทางการคลังเข้ามาช่วยมากกว่า

“เราพยายามบอกว่า ที่บาทแข็งค่าไม่ได้เกี่ยวกับทองคำโดยตรง ขณะเดียวกัน ธุรกิจนี้ทำประโยชน์ให้ประเทศด้วย ประเทศไทยมีวอลุ่มซื้อขายทองคำอันดับ 5-6 ของโลก ปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ คือ ร้านทองทั่วประเทศ และวัฒนธรรมคนไทยที่ชอบซื้อขายทองคำ เป็นอุตสาหกรรมที่ดี ประเทศอื่นไม่มี แต่มีที่ไทย ผู้ประกอบการก็เก่งด้วย เราจึงเป็นประเทศที่มีการเทรด มียอดนำเข้า-ส่งออกเยอะมาก การจะออกกฎอะไรต้องระวัง ต้องมองให้กว้าง”

ร้านทองตู้แดง “ยังไม่ตาย”

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจทองคำเมืองไทย นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า สำหรับร้านทองตู้แดงยังไม่ตาย แต่การเติบโตจะลดลง 8-10% “ขายไม่ดี แต่ไม่ตาย” เพราะถ้าจะตายคงตายไปตั้งแต่ช่วง 5 ปีก่อนที่ราคาทองตกมาก ๆ ปัจจุบันร้านทองตู้แดงอยู่ได้เพราะการรับจำนำ เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่ยังนิยมซื้อทองคำรูปพรรณไว้สวมใส่และเป็นทรัพย์สิน และตอนนี้มีกลุ่มแรงงานต่างด้าวอย่างคนพม่า ลาว นิยมซื้อทองเวลาจะกลับบ้าน แต่ต้องยอมรับว่าวอลุ่มลดลง เนื่องจากราคาทองแพงขึ้น จากต้นปี 20,000 บาท/บาททองคำ ตอนนี้ขึ้นมาที่ 22,000 บาท คนก็จะขาย หรือจำนำกันหมด

นพ.กฤชรัตน์ฉายภาพการลงทุนทองคำในไทยปัจจุบันว่า นักลงทุนไทยสนใจและเข้าใจวิธีการลงทุนในทองคำมาก พบว่าการเปิดเทรดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (gold online future) ซึ่งเริ่มเมื่อ 2 พ.ย. 2561 เทรดเป็นดอลลาร์/ออนซ์ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน วอลุ่มการซื้อขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนแรกมีแค่ราว 1,000 สัญญาต่อวัน ถึงปัจจุบันซื้อขายอยู่ 20,000-30,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งทุก ๆ 3,000 สัญญาเทียบเท่ากับทองคำ 1 ตัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะพอสมควร

“การลงทุนทองคำมีรายย่อยเข้ามาในตลาดมากขึ้น ซึ่งตลาดจำเป็นต้องให้ความรู้ เพราะคนไทยไม่ค่อยศึกษา เช่น การลงทุนในทองคำควรเปิดบัญชีกับร้านทองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมีโอกาสถูกหลอกได้ เพราะปัจจุบันมีโบรกฯเถื่อนที่โฆษณากันเกลื่อนในโลกออนไลน์ อุตสาหกรรมทองไทยเป็นตลาดที่ดี ไปได้อีกไกล ภาครัฐอย่าออกมาตรการอะไรที่มากระทบกระเทือน แต่ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมให้เติบโต และพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง ถูกกฎหมาย ถูกทาง เช่น ช่วยกันให้ความรู้ ส่งเสริมให้นักลงทุนมาลงทุนในตลาดออนไลน์ แล้วกำจัดพวกโบรกฯเถื่อน โบรกผี” นพ.กฤชรัตน์ทิ้งท้าย