หลังจาก “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” (Kerry Express) ประกาศแผนเข้าระดมทุนตลาดหุ้นไทยภายในปีนี้ ก็ได้รับเสียงตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะเป็นธุรกิจ “ส่งด่วนเอกชน” รายแรกในประเทศไทย ที่สามารถขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งได้ในระยะเวลาไม่นาน จากจุดแข็งที่สามารถส่งพัสดุไปยังปลายทางได้ภายในข้ามวัน (next-day delivery)
โดย “วราวุธ นาถประดิษฐ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงแผนการลงทุนในอนาคต โอกาสการเติบโต รวมถึงกลยุทธ์การปรับตัวรับมือคู่แข่งขันรายใหม่
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
หนทางสู่เบอร์หนึ่ง
“วราวุธ” เท้าความว่า บริษัท เริ่มให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในไทยตั้งแต่ปี 2549 ขณะนั้นมีแค่ประมาณ 10 สาขาเท่านั้น และมีพนักงานไม่ถึง 100 คน เริ่มจากให้บริการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจส่งถึงธุรกิจ (B2B) เป็นหลัก ก่อนจะขยายมาสู่บริการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจส่งถึงบุคคล (B2C) และแบบบุคคลส่งถึงบุคคล (C2C) ในที่สุด
ปัจจุบัน “เคอรี่ฯ” มีจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีศูนย์คัดแยกพัสดุหลัก 9 แห่ง ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 12,000 แห่ง รถจัดส่งพัสดุภายใต้การบริหารของบริษัทกว่า 25,000 คัน และพนักงานกว่า 20,000 ราย
เติบโตไปพร้อมอีคอมเมิร์ซ
จากฐานการให้บริการที่ขยายใหญ่ขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากกลุ่มลูกค้า C2C และ B2C เป็นหลัก โดยงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 14,689 ล้านบาท เติบโต 0.2% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,030 ล้านบาท เติบโต 14.4% จากปีก่อน มาจากกลุ่มลูกค้า C2C 53.9%, B2C 44.3%, B2B 1.7% และรายได้จากการโฆษณา 0.1%
ช่วง 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2560-2562) บริษัทมีรายได้ 6,626 ล้านบาท 13,565 ล้านบาท และ 19,782 ล้านบาทตามลำดับ โตเฉลี่ย 72.8% กำไรสุทธิอยู่ที่ 730 ล้านบาท 1,185 ล้านบาท และ 1,329 ล้านบาทตามลำดับ โตเฉลี่ย 34.9%
ในระยะถัดไป “วราวุธ” เชื่อว่า ธุรกิจของ “เคอรี่ฯ” จะเติบโตสอดคล้องไปกับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้และด้วยส่วนแบ่งยอดขายปลีกออนไลน์ในไทยที่อยู่ที่ 3.7% จากยอดขายค้าปลีกรวม ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
เช่น จีน 27.5% เกาหลี 26.7% อังกฤษ 18.3% สหรัฐ 15.2% และญี่ปุ่น 9.0% ดังนั้น จึงยังมีโอกาสที่ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศจะเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจะส่งผลบวกต่อธุรกิจส่งด่วนโดยแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ จากการระบาดของโควิด-19
ส่งผลให้ผู้คนหันมาใช้บริการสั่งของออนไลน์มากขึ้น หนุนให้ธุรกรรมของบริษัทปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1.3 ล้านหลังคาเรือน/วัน ก่อนจะปรับลงมาอยู่ที่ 1.2 ล้านหลังคาเรือน/วันในปัจจุบัน ซึ่งการขยายความสามารถในการรองรับสินค้า (capacity) เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ส่งผลให้รายได้ส่วนหนึ่งต้องนำไปลงทุนขยาย capacity ตลอดเวลา
และนอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีแล้ว บริษัทตั้งใจขยายความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีเครือข่ายพันธมิตรที่อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า อาทิ ร้านสะดวกซื้อ FamilyMart ห้างสรรพสินค้า Big C, Tesco Lotus และ Tops Supermarket, รถไฟฟ้า BTS, ร้านหนังสือB2S และ OfficeMate ฯลฯ
“ปัจจุบันเราสามารถรักษาอัตราทำกำไรไว้ที่ระหว่าง 5-8% ต่อธุรกรรม ขณะที่โควิด-19 ส่งผลบวกต่อเราในแง่ที่ผู้ใช้บริการหน้าใหม่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น รวมถึงช่วงท้ายปีจะเป็นช่วงฤดูกาลการใช้จ่ายแม้ว่าปีนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคอาจจะแผ่วลง แต่เชื่อว่ารายได้ของเราจะยังเติบโตได้ดีเป็นตัวเลขสองหลัก”
ไม่หวั่นคู่แข่งตัดราคา
ส่วนการเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ที่อาจจะมีเรื่องการตัดราคานั้น “วราวุธ” มั่นใจว่า ไม่ว่าคู่แข่งจะใช้วิธีการตัดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ไปใช้บริการอย่างไร แต่ “เคอรี่ฯ” ยังมีต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นเจ้าเดียวที่การันตีการส่งถึงภายในวันถัดไป และหากคู่แข่งใช้กลยุทธ์ตัดราคาก็จะไม่เป็นผลดีต่อผลประกอบการ อีกทั้งยังยากที่จะปรับราคาขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุนในระยะถัดไปด้วย
เล็งปันผลขั้นต่ำ 30%
“วราวุธ” กล่าวถึงแผนการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่บริษัทจะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “KEX” ว่า บริษัทได้เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) แก่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 8-14 ธ.ค.ที่ผ่านมา กำหนดราคาจองซื้อ 28.00 บาท/หุ้น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม สะท้อนจากนักลงทุนสถาบันกว่า 100 กองทุน ที่แสดงความต้องการซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายถึง 24 เท่า
ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่สนใจลงทุนในธุรกิจของ “เคอรี่ฯ” สามารถซื้อขายบนกระดานได้ ในวันที่ 24 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ และมีกำหนดจ่ายปันผลเป็นประจำทุกปี
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ประมาณ 8,400 ล้านบาทนั้นประมาณ 1,000 ล้านบาทแรก เราจะนำไปใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อบริหารต้นทุนของบริษัท และอีกส่วนหนึ่งใช้ชำระหนี้คืนแก่ธนาคาร
“แม้ว่า ‘เคอรี่ฯ’ จะเป็นบริษัทลูกในเครือ ‘เคอรี่ โลจิสติกส์ เน็ทเวิร์ค’ จากฮ่องกง แต่บริษัทตั้งใจสร้างธุรกิจให้เป็นของคนไทย โดยก้าวที่สำคัญที่บริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการตอกย้ำว่าต้องการให้คนไทยทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของร่วมกัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ “เคอรี่ฯ” กล่าวทิ้งท้าย