“ทีเอ็มบี” ฟันธงหุ้นโลก “ขาขึ้น” SET หืด กสิกรลุ้นแตะ1,610จุด

ตลาดหุ้นไทย

จับทิศทางลงทุน “ทีเอ็มบี” ฟันธงตลาดหุ้นโลกปี 2564 เป็น “ขาขึ้น” ชี้สภาพคล่องล้น-ดอกเบี้ยต่ำ หนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ชี้เป้าตลาดเกิดใหม่รับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มองตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกหุ้นขนาด “กลาง-เล็ก” มีโอกาสเติบโตสูงรับประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ต้องรอคิวครึ่งปีหลัง แนะปรับการลงทุนสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชียร์คัดหุ้นเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้าพอร์ต เชื่อราคายังไม่แพงเกินไป ฟาก “บลจ.กสิกรไทย” ลุ้นปีนี้หุ้นไทยทดสอบ 1,610 จุด มองยังไม่ใช่ขาขึ้น แถมเต็มไปด้วยแรงเก็งกำไร

นางสาวกิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีมีมุมมองค่อนข้างชัดว่าภาวะตลาดหุ้นโดยรวมในปี 2564 มีทิศทางเป็น “ขาขึ้น” ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชียจะเป็นจุดสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยตรง

โดยตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มดีกว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวเปราะบาง นักท่องเที่ยวและการส่งออกยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทางทีเอ็มบีมองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.40% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ปรับขึ้นตลอดทั้งปี

โดยมุมมองการลงทุนในหุ้นไทยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องวัคซีน แต่หลังจากที่วัคซีนเริ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง หุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า

ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปี 2564 ทางทีเอ็มบีมองว่าการจัดพอร์ตลงทุน ต้องมีมุมมองใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนจาก new normal เป็น now normal ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตคนมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ดังนั้น ในส่วนหลักของพอร์ตจะเน้นการลงทุนในหุ้นดังกล่าวเป็นหลัก และผสานด้วยหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการ

แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการมาของวัคซีนจะช่วยสนับสนุนให้ราคาของหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

“แม้ในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้แพงเกินไป แต่ทีเอ็มบีมองว่ายังไม่แพงเกินไปที่จะลงทุนในตอนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้คน เนื่องจากการลงทุนในปัจจุบันนั้นนักลงทุนต้องการลงทุนในธุรกิจที่มี “การเจริญเติบโต” ในอนาคตอย่างยั่งยืน แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะดูปรับตัวขึ้นมามาก แต่ถ้าเป็นการปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของบริษัทก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เป็นภาวะฟองสบู่”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพคล่องที่มีอยู่มาก ผู้ลงทุนต้องระวังเรื่องความผันผวนที่อาจรุนแรงมากกว่าภาวะปกติเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอย่างฉับพลัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนให้เหมาะสมจะทำให้พอร์ตไม่เสี่ยงมากเกินไป

โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตก็คือ ทองคำ แม้ปีนี้ราคาทองคำอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่หากครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่ออกมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าก็เป็นโอกาสของทองคำได้เช่นกัน

นางสาวกิดาการกล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2564 ค่อนข้างสดใส มีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ การกระจายวัคซีน ซึ่งต้องดูว่าจะกระจายได้ครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน, แนวโน้มการค้าโลกที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน ทำให้การลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจกว่าพันธบัตรอยู่มาก

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย (KAsset) กล่าวถึงทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปี 2564 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบ 1,610 จุด ขณะที่แนวรับระหว่างปีประเมินว่าจะไม่หลุด 1,444 จุด โดยชี้ว่าในปีนี้ตลาดหุ้นยังไม่ใช่ทิศทางขาขึ้น และยังเต็มไปด้วยแรงเก็งกำไร ขณะที่ในปีถัดไปยังมองว่ายากที่ดัชนีจะกลับขึ้นไปยืนอยู่ระดับ 1,700 จุด อย่างในอดีต

“ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจไทยที่โอกาสเติบโตยังไม่ได้ดีมาก อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยเด่นที่เข้ามาหนุน แต่สำหรับการลงทุน เรามองว่าในช่วงครึ่งปีแรกยังลงทุนได้ โดยแนะนำซื้อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มพลังงาน”