รู้จัก “เซียนฮง” สถาพร งามเรืองพงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ OR

รู้จักเซียนฮงผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ของ OR

ทำความรู้จัก “เซียนฮง” หรือ สถาพร งามเรืองพงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ OR มาแรงแซงหน้ากระทรวงการคลัง-สำนักงานประกันสังคม พร้อมเคล็ดลับในการเลือกหุ้น 

วันที่ 23 มีนาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) สร้างปรากฏการณ์ “หุ้นมหาชน” สมคำโฆษณาที่พยายามดึงดูดใจนักลงทุนรายย่อยให้เกิดความรู้สึกร่วมในความเป็นเจ้าของธุรกิจ

มีนักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้น IPO ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 4.8 แสนราย โค่นแชมป์เก่าอย่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลงอย่างราบคาบ ขณะที่ราคาหุ้นที่เปิดซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) วันแรก ราคาเปิดทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 26.50 บาท บวก 47.2% จากราคาจองซื้อ 18.00 บาท ปิดตลาดวันแรกราคาพุ่งขึ้นไปที่ 29.25 บาท สูงกว่าราคาจองซื้อ 11.25 บาทหรือ 62.50% ทั้งยังมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 47,343.69 ล้านบาท

ระหว่าง OR ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น เพื่อเตรียมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น “ประชาชาติธุรกิจ” ตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่พบว่า อันดับ 2 รองจาก บมจ.ปตท. ได้แก่ นายสถาพร งามเรืองพงศ์ ซึ่งมีหุ้น OR ทั้งหมด 244,298,900 หุ้น หรือร้อยละ 2.04 ซึ่งนับว่ามากกว่า GIC Private กองทุนระดับโลกจากสิงคโปร์ ที่อยู่ในอันดับ 3 รวมถึง กระทรวงการคลัง อันดับ 5 และ สำนักงานประกันสังคม อันดับ 6

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีหญิงนามสกุลเดียวกันกับนายสถาพร ถือครองหุ้น OR มากเป็นอันดับ 10

เด็กปี 1 กับเงิน 1 แสนบาท

สำหรับ นายสถาพร งามเรืองพงศ์ นั้น ไม่ใช่นักธุรกิจหรือลูกมหาเศรษฐีนามสกุลดัง ทว่าเป็นหนุ่มวัย 30 ที่นักเล่นหุ้นรู้จักกันดีในชื่อ “เซียนฮง” หรือ “เซียนหุ้นอัจฉริยะ” เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อช่วงปี 2547 ด้วยเงิน 100,000 บาท ระหว่างยังเป็นนักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

หลังจากโด่งดังในวงการหุ้น จากการเขียนบล็อก บทความ และให้สัมภาษณ์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ช่วงปี 2554-2555 เจ้าตัวก็หายหน้าหายตาไปเฉย ๆ ต่อมาจึงให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า “ไปเที่ยวรอบโลก” เพื่อออกจากการลงทุนไปใช้ชีวิต

“ผมเชื่อว่าหลักการที่เคยให้สัมภาษณ์ไป มันใช้ได้ตลอด และไม่อยากให้คนดูเบื่อ” นายสถาพรกล่าวถึงเหตุผลที่ห่างหายไป

ต่อมา ปี 2556 เขาทยอยซื้อหุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย หรือ KTC  จากนั้นในปี 2562 เขาได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ใน KTC ก่อนที่ 1 ปีต่อมา คือปี 2563 จะขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของ KTC ก่อนทยอยขาย

ปัจจุบัน เซียนฮงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน 6 บริษัท ได้แก่ OR, KISS, MICRO, NOBLE, IVL และ SINGER รวมมูลค่า ณ ราคาปิดวันที่ 22 มีนาคม 2564 ที่ 11,508 ล้านบาท

เคล็ดลับเลือกหุ้นของ “เซียนฮง”

เซียนฮงเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Money Chat Thailand เมื่อปี 2562 ถึงหลักการเลือกหุ้นว่า เขาจะให้ความสำคัญกับผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ เก่ง และมีไฟ ซึ่งการจะหาบริษัทที่มีผู้บริหาร ที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ข้อนั้น “ค่อนข้างยาก” แต่หากหาเจอ แล้วได้ในราคาที่ความคาดหวังของคนไม่เยอะ จะถือเป็นการลงทุนที่สร้างกำไรให้มหาศาล

“เรื่องความความซื่อสัตย์ ต้องดูว่าเขาไม่เคยมีประวัติถูก ตลท.หรือ ก.ล.ต.เรียกไปปรับ ไม่มีข่าวเรื่องเอาเปรียบสังคม พูดเกินจริง เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีประวัติเสียหาย แล้วค่าใช้จ่ายของบริษัท เมื่อเทียบกับเพื่อนในอุตสาหกรรมต้องต่ำกว่า เพราะคนไม่ซื่อสัตย์ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายเขาจะเยอะผิดปกติ” เซียนฮงกล่าวและว่า

ส่วนเรื่อง “ความเก่ง” พิจารณาจากงบการเงิน ซึ่งจะมี ROE (อัตราส่วนระหว่างกำไรสุทธิกับส่วนของผู้ถือหุ้น) ที่สูงกว่า สะท้อนว่าเวลาที่เจอสถานการณ์ไม่ดี เขาสามารถจัดการแล้วทำให้กำไรได้รับผลกระทบน้อย

สุดท้าย “มีไฟ” เซียนฮงบอกว่า เมื่อฟังเขาพูด เราจะสัมผัสได้เองว่า ใครมีไฟหรือไม่มีไฟ

“ผมได้ฟังผู้บริหารหลายบริษัท พบว่าเป็นคนมีไฟ ซื่อสัตย์ แต่ไม่ฉลาด เช่น เวลาที่เขาล้มโครงการนี้จะหาโครงการใหม่ แต่กลับเป็นโครงการที่ไม่ก่อกำไรเพิ่ม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำผิดกฎตลาด แต่ความคิดเขายังไม่คมพอที่จะสร้าง value add ให้บริษัท เพราะฉะนั้น ผู้บริหารที่มีคุณสมบัติครบ 3 อย่าง ใน ตลท.มีไม่มาก”

สถาพรหรือเซียนฮง ยังพูดถึงหุ้นที่เขาจะไม่ยุ่งเลยคือ กลุ่มพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากปัจจัยด้านสภาพอากาศ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงบริษัทที่คุมความเสี่ยงไม่ได้ หรือถูกเทคโนโลยีดิสรัปต์

ตอนท้ายเขาให้แง่คิดที่น่าสนใจว่า

“เมื่อก่อนเวลาผมขยัน ผมจะนั่งอ่านหุ้นวันละ 8-9 ชั่วโมง แต่หลัง ๆ ผมจะดูว่าเราควรจะลงแรงกับอะไรที่คุ้มค่า”