ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK เพิ่งได้รับการอนุมัติเพิ่มทุนจำนวน 4,198 ล้านบาท จากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเพิ่มทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีนับตั้งแต่การเพิ่มทุนล่าสุดเมื่อปี 2552
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร” กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK บอกว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นการอัดฉีดเงินให้ EXIM BANK เร่งเครื่อง “ซ่อม สร้าง เสริม” สนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับให้กลับมาทำการค้าการลงทุนได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง
รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว “คาดว่ายอดคงค้างสินเชื่อจะเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า ไปแตะระดับ 212,730 ล้านบาทในปี 2568 จากจำนวนยอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2564 อยู่ที่ 140,600 ล้านบาท” ดร.รักษ์กล่าว
แก้ปมข้อจำกัด “เงินกองทุน”
โดยที่มาที่ไปของความจำเป็นต้องเพิ่มทุนนั้น กระทรวงการคลังได้รายงานต่อที่ประชุม ครม.ว่า เนื่องจากภายใต้แผนแม่บทปี 2570 EXIM BANK ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจชั้นนำระดับโลกที่อยู่เคียงข้างผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย” (Global Export Credit Agency : Global ECA)
ซึ่ง EXIM BANK วางบทบาทในการนำพาผู้ประกอบการไทย รวมถึงเอสเอ็มอีไปสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ประเทศอื่น ๆ ที่เป็นตลาด new frontiers ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เช่น อินเดีย/เอเชียใต้ แอฟริกาตะวันออก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีภารกิจสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเน้นยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมผ่านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่และอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
อย่างไรก็ดี EXIM BANK มีเงินกองทุนขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อโครงการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่วนหนึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องเผชิญกับข้อจำกัดในประเทศของนโยบายการจำกัดความเสี่ยงของการกระจุกตัวด้านเครดิต (Single LendingLimit : SLL) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่เกิน SLL จะต้องขออนุญาตผ่อนผันจาก ธปท.เป็นกรณีเพื่อดำเนินการ และจะต้องถูกหักเงินกองทุนส่วนเพิ่ม (Capital Add-on) ทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ลดลง
ทั้งนี้ EXIM BANK ประมาณการว่าหากไม่ได้รับการเพิ่มทุนจะส่งผลให้ระดับ BIS Ratio ลดลงเหลือ 13.03% ในปี 2564 ลดลงจากปี 2562 อยู่ที่ 15.42% ซึ่งเข้าใกล้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) ของธนาคารที่ 12.50% และส่งผลกระทบต่อการขยายการดำเนินงานของEXIM BANK ในอนาคต
รุกขยายสินเชื่อ 4 ตลาด
ทั้งนี้ EXIM BANK มีแผนขยายการดำเนินงานผ่านการให้บริการสินเชื่อและการประกันการส่งออก ซึ่งจะทำให้ยอดคงค้างสินเชื่อของธนาคารในปี 2564 มีจำนวน 138,940 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 212,730 ล้านบาทในปี 2568 ตามแผนธุรกิจปี 2564 และแผนวิสาหกิจ 5 ปี (2564-2568) และมียอดคงค้างให้สินเชื่อในปี 2570 จำนวน 281,260 ล้านบาท
ตามแผนแม่บทปี 2570 ซึ่งจะขยายบทบาทของ EXIM BANK ในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยการให้สินเชื่อ 4 ตลาดหลัก ได้แก่ 1.ตลาดในประเทศ ทั้งสินเชื่อเพื่อการส่งออก และสินเชื่อเพื่อการพัฒนาประเทศ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (S-curve) เป็นต้น
2.ตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น 3.ตลาด CLMV และ 4.ตลาด new frontiers เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย มัลดีฟส์ เป็นต้น
หนุนเอสเอ็มอี-จ้างงาน
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนทำให้ EXIM BANK มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากเดิม 12,800 ล้านบาท เป็น 16,998 ล้านบาท ส่งผลให้สามารถขยายธุรกิจสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขึ้น
โดยจะทำให้ธนาคารขยายธุรกิจได้ตามแผนวิสาหกิจ 5 ปีในปี 2564-2568 โดยประมาณการยอดคงค้างสินเชื่อเพิ่มขึ้น68.50% เป็นจำนวน 212,730 ล้านบาท สนับสนุนการส่งออกเพิ่มขึ้น 39% เป็นจำนวน 577,957 ล้านบาท
สนับสนุนการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 90.10% เป็นจำนวน 206,490 ล้านบาท และสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 67.90% เป็นจำนวน 140,580 ล้านบาท
โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มการสนับสนุนการจ้างงานเพิ่มขึ้น 42.80% เป็นจำนวน 570,450 ราย และเพิ่มการสนับสนุนผู้ส่งออกเอสเอ็มอี 69.50% เป็นจำนวน 5,928 ราย
ธปท.แนะโฟกัสช่วยเอสเอ็มอี
อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม โดย “รณดล นุ่มนนท์” รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.ระบุว่า ธปท.ไม่ขัดข้องในหลักการของการใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
เพื่อการเพิ่มทุน EXIM BANK จำนวน 4,198 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ภายหลังการเพิ่มทุน EXIM BANK ควรสนับสนุนเอสเอ็มอีเป็นหลัก และเห็นควรให้กำหนดปัจจัยดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานจากการเพิ่มทุนของ EXIM BANK ต่อไป
สุดท้ายแล้ว การตั้งเป้าหมายให้ EXIM BANK ก้าวไปสู่การเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจชั้นนำระดับโลกจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และจะมีบทบาทในการช่วยผู้ส่งออกโดยเฉพาะเอสเอ็มอีได้เพียงใด หลังการเพิ่มทุนครั้งนี้ไปแล้วคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามวัดผลกันต่อไป