ฟิทช์ ชี้ ศก. ไทยปีหน้าโต 4.8% ฟื้นตัวเร็ว จับตา “แบงก์-ค้าปลีก-โรมแรม”

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 0.8% จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปี’65 คาดขยายตัว 4.8% หลังอัตราการฉีดวัคซีนโควิดปรับตัวดีขึ้น หนุนธุรกิจเริ่มเปิดให้บริการใหม่-สภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจโลกเอื้ออำนวย แต่มองอุตสาหกรรม “ธนาคาร-ค้าปลีก-โรงแรม” ยังคงเผชิญความท้าทาย

 

ฟิทช์ ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดต้นปี’66

วันที่ 12 ตุลาคม 2564 นักวิเคราะห์บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานสัมมนาประจำปีผ่านระบบออนไลน์ในวันนี้ว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปี 2565 เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจต่างๆ เริ่มเปิดให้บริการใหม่ และสภาวะแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ยังคงเติบโตและยังคงเอื้ออำนวย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) น่าจะฟื้นตัวกลับมาที่ระดับก่อนโควิด-19 ภายในช่วงต้นปี 2566

อันดับเครดิตของบริษัทไทยรายใหญ่ส่วนมากได้ปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีบางภาคอุตสหากรรม เช่น ภาคธนาคาร อุตสหกรรมค้าปลีกและโรงแรม ที่ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันในด้านรายได้ต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด

 

เฟดลดอัดฉีดสภาพคล่อง เริ่มเดือน พ.ย.

นายสตีเฟ่น ชวาว์ส  ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ฟิทช์ เรทติ้งส์ บรรยายถึงสภาวะเศรษฐกิจของโลก และมองว่าอุปสงค์จากภายนอกที่ปรับตัวดีขึ้นน่าจะช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดในด้านอุปทานส่งผลให้อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจเติบโตได้น้อยลง และยังส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(FED) อาจจะเริ่มลดทอนการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือน พ.ย.64 แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเริ่มขึ้นในปี 2566

แนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการปรับตัวลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามอัตราการฉีดวัคซีนของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งน่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลับตัวมาดีขึ้นหลังจากถูกกระทบอย่างมากจากโรคโควิด-19

 

ฟิทช์ มองปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 0.8%

จากประมาณการคาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคจะเติบโตเฉลี่ยในอัตรา 6.3% ในปี 2564 และ 5.3% ในปี 2565 โดยได้รับแรงหนุนจากการทยอยยกเลิกมาตรการและข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับเพียง 0.8% ในปี 2564 และ 4.8% ในปี 2565 โดยอัตราการฉีดวัคซีนได้ปรับตัวดีขึ้นแล้วหลังจากที่ค่อนข้างช้าในช่วงแรก การเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของประเทศจีนและการลดทอนการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของเฟดอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เป็นตลาดเกิดใหม่และตลาดที่เพิ่งจะพัฒนา

 

ลูกหนี้ SME อ่อนแอ กระทบคุณภาพสินทรัพย์แบงก์ไทย

นายพาสันติ์ สิงหะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยยังคงมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากยังมีการใช้มาตรการผ่อนปรนหลักเกณฑ์อยู่ โดยประมาณ 14% ของสินเชื่อรวมของภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการผ่อนปรนและยังมีการผ่อนผันเกณฑ์ในด้านการจัดชั้นสินเชื่อ

คาดว่ากลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 23% ของสินเชื่อรวมน่าจะยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสภาวะการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ

 

หนี้เสียพุ่งปี’65 อัตราทำกำไรแบงก์ยังท้าทาย

โดยฟิทช์ยังเชื่อว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2565 และอัตรากำไรของธนาคารน่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องในปี 2565 แต่ที่ผ่านมาธนาคารไทยก็ได้มีการสะสมสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นมาในระดับที่สมเหตุสมผล และมีฐานะเงินกองทุนที่จะช่วยรองรับความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้คาดว่าค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญของระบบธนาคารในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นตลาดกำลังพัฒนา น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่ทั้งนี้ความสามารถในการรองรับความเสียหายของธนาคารในแต่ละประเทศอาจมีความแตกต่างกันไป

ธุรกิจพลังงาน-ปิโตรฯ แนวโน้มเครดิตมี “เสถียรภาพ”

นายโอบบุญ ถิรจิต ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะช่วยให้รายได้ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์เติบโตต่อเนื่องในปี 2565 บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมในภาคพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2563 ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ จากการที่รายได้เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดโควิด

 

“ค้าปลีก-โรงแรม” ใช้เวลา 2 ปี กลับสู่ระดับก่อนโควิด

สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกและโรงแรม ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากยอดผู้ป่วยโควิดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากและการจำกัดการเดินทางในปี 2564 น่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2565 แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวกลับขึ้นมาในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิดนั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2 ปี

บริษัทไทยได้มีการเพิ่มการลงทุนและมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น เพื่อที่จะรองรับการเติบโตในระยะปานกลางและเพื่อการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้มากขึ้น (digitalization) และการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สิน (leverage) ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและจำกัดโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิต