สบน.ชี้ขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70% รัฐมีช่องกู้เพิ่ม 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมเปิดปัจจัยเสี่ยงหนี้สาธารณะปี’65 เร่งทำบอนด์สวิตชิ่ง กระจายความเสี่ยง
วันที่ 7 ธันวาคม 2564 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.คาดการณ์ว่าในสิ้นปีงบประมาณ 65 หนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 62.69% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไม่ถึง 70% ตามกรอบวินัยการเงินการคลังที่ขยายไว้ โดยเพิ่มจากปัจจุบันที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 58.76% ของจีดีพีคิดเป็นมูลหนี้ 9.46 ล้านบาท โดยการที่รัฐบาลขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะ เป็นการเปิดช่องว่างให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มหากมีความจำเป็นในอนาคต ซึ่งยังสามารถกู้ได้อีกประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สำหรับความเสี่ยงของรัฐบาลในเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะต่อจากนี้ มี 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลสูงขึ้นตามไปด้วย และ 2.การกระจุกตัวของหนี้สาธารณะที่ครบกำหนดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่โดยมากเป็นการกู้ระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา สบน. ได้ดำเนินการบริหารความเสี่ยงและปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้หนี้ของรัฐบาลมีการกระจายตัวอย่างเหมาะสมภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยใช้เครื่องมือทางการเงินและรุ่นอายุที่หลากหลาย อาทิ การทำบอนด์สวิตชิ่ง หรือ การทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนตราสารหนี้รุ่นเดิมที่นักลงทุนถือครองอยู่ กับตราสารหนี้รุ่นอื่น และการออกพันธบัตรทำเป็นตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของหนี้ โดยมีความสอดคล้องกับภาวะตลาดและความต้องการของนักลงทุนภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมถึงแบ่งเบาการนำเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้ชำระหนี้จนมากเกินไป ซึ่งอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังได้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีวินัยในการชำระหนี้ โดย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 63 ที่กำหนดให้ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและและรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระ ไม่น้อยกว่า 2.5-4% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งในปีงบประมาณนี้สำนักงบประมาณจัดสรรงบฯชำระต้นเงินกู้ส่วนของหนี้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระราว 3% ของงบประมาณรายจ่าย หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท
นางแพตริเซียกล่าวว่า สำหรับการปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะนั้น กฎหมายได้กำหนดให้มีการทบทวนทุก ๆ 3 ปี ซึ่งมี 2 เงื่อนไข คือ ถ้าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 รายได้ประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลไม่มีความต้องการใช้เงินเพิ่ม ก็สามารถลดกรอบกลับมาอยู่ที่ 60% ของจีดีพีได้ แต่ถ้าหากสถานการณ์โควิด-19 ยังลากยาวหรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ในการลงทุนและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ก็ยังสามารถคงกรอบเพดานหนี้สาธารณะไว้ที่ 70% ได้ เพื่อให้มีความคล่องตัว โดยเบื้องต้น สบน.คาดน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปีที่จะปรับกรอบวินัยการคลังลงไประดับปกติ
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 65 ครม.ได้อนุมัติกรอบแผนบริหารหนี้สาธารณะไว้แล้ว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.แผนก่อหนี้ใหม่ ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ วงเงิน 1.34 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลโดยตรง 1.2 ล้านล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 1.4 แสนล้าน และหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ 350 ล้านบาท 2.แผนบริหารหนี้เดิม วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ของรัฐบาลประมาณ 1.37 ล้านล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 1.3 แสนล้านล้านบาท และ 3.แผนชำระหนี้ทั้งหมด 339,000 ล้านบาท เป็นแผนหนี้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ประมาณ 297,631 ล้านบาท แผนชำระหนี้จากแหล่งอื่นๆ จำนวน 4.1 หมื่นล้านบาท