ดร.นิเวศน์ ถอดบทเรียน ศรีลังกา-เมียนมา-ลาว ทำไมประเทศถึงล้มละลาย

ดร.นิเวศน์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูนักลงทุนวีไอ ถอดบทเรียน “ศรีลังกา-เมียนมา-ลาว” ทำไมประเทศถึงล้มละลาย ห่วงไทยดุลบัญชีทุนติดลบนานเศรษฐกิจโตช้า-ดอกเบี้ยต่ำกว่าอเมริกามาก ถ้าไม่แก้ไขอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินได้ หวังผู้รับผิดชอบดูแลเศรษฐกิจ-การเงินประเทศจะไม่ทำผิดอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2540

วันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า การ “ล้มละลาย” ของศรีลังกา เมียนมา และ สปป.ลาว ที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นนั้น ผมคิดว่าเราควรมาทำความเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยการใช้ภาษาของคนธรรมดาที่พอจะเข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์อยู่บ้างดังต่อไปนี้ โดยที่ผมจะเปรียบเทียบกับบุคคลธรรมดาด้วย

เริ่มกันที่ธุรกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละคนก่อนก็คือ เราต้องมีรายได้และค่าใช้จ่าย รายได้นั้นหลักใหญ่ ๆ ก็มาจาก 2 กลุ่มกิจกรรมคือ 1.การขายของ หรือ 2.ขายแรงงาน ซึ่งก็คือการเป็นลูกจ้างหรือขายบริการ เช่น เป็นฟรีแลนซ์ต่าง ๆ ส่วนรายจ่ายก็มี 2 อย่างเช่นกันคือ 1.ซื้อของมากินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และ 2.ซื้อบริการ เช่น จ่ายค่าเล่าเรียน, ตัดผม, ไปดูหนัง ซื้อทัวร์ไปเที่ยว และซื้อประกัน เป็นต้น

นอกจากรายได้และรายจ่ายที่มาจากการทำงานแล้ว รายรับและรายจ่ายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการลงทุนซึ่งก็มี 2 แบบใหญ่ ๆ นั่นก็คือ 1.การลงทุนโดยตรงในธุรกิจ เช่น ไปร่วมเป็นหุ้นส่วนกับคนอื่นที่เราต้องจ่ายเงินออกไป และ 2.การลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร

และทั้ง 2 กรณีก็คือ มีทั้งการจ่ายเงินออกไปตอนไปลงทุนและการรับเงินเข้ามาเวลาได้รับปันผล รับดอกเบี้ย หรือขายหลักทรัพย์ ถ้ารวมรายได้และรายจ่ายทั้ง 2 รายการแล้วเป็นบวกก็แสดงว่าเราทำมาหากินเลี้ยงตัวได้ ความเสี่ยงที่จะล้มละลายน่าจะต่ำลง

ในระดับของประเทศเองนั้น เวลาประเทศ “ขายของ” ให้ประเทศอื่น เราเรียกว่าการ “ส่งออก” ส่วนเวลาเราซื้อของมาใช้ก็เรียกว่าการ “นำเข้า” หักกลบกันแล้วเราเรียกว่า “ดุลการค้า” ในส่วนของการซื้อ-ขายบริการนั้น ถ้าหักกลบแล้วเราเรียกว่า “ดุลบริการ” และเมื่อเอา 2 ตัวนี้มารวมกัน เราก็เรียกว่า “ดุลบัญชีเดินสะพัด” ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกว่า ประเทศเรา “ทำมาหากิน” ได้เงินพอหรือมากกว่าค่าใช้จ่ายหรือเปล่า ถ้าใช่ก็แปลว่าเราน่าจะมีเงินเหลือเก็บ เป็น “ทุนสำรอง” ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะล้มละลายต่ำลง

นอกจากการทำมาหากินแล้ว การลงทุนทั้งในด้านธุรกิจที่เรียกว่าลงทุนโดยตรงและการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้นและพันธบัตร ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เงินเข้าออกเปลี่ยนแปลงไป และบางครั้งก็อาจจะทำให้คนธรรมดาและประเทศล้มละลายได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าเงินถูกนำออกไปมากกว่าเงินไหลเข้ามากในช่วงเวลาหนึ่งและเงินสำรองมีไม่พอ ตัวอย่างเช่น คนหรือประเทศติดหนี้ที่ถึงกำหนดต้องชดใช้มากกว่าเงินที่สะสมไว้มากและไม่สามารถกู้เงินมาหมุนทัน ก็จะอยู่ในสภาพ “ล้มละลาย” ทันที

มูลค่าเงินลงทุนส่วนที่ถูกนำเข้ามาในประเทศหักด้วยเงินที่ถูกส่งออกไปนอกประเทศนั้น เรียกว่า “ดุลบัญชีทุน” และเมื่อนำมาคำนวณรวมกับดุลบัญชีเดินสะพัดในแต่ละปีก็จะเรียกว่า “ดุลชำระเงิน” หรือก็คือเม็ดเงินที่เรามีเพิ่มขึ้น (หรือลดลง) ในปีนั้น ซึ่งก็จะเข้ามารวมกับ “เงินสำรอง” ของประเทศที่จะเป็นในรูปแบบต่าง ๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือเงินดอลลาร์สหรัฐและอาจจะเป็นทองคำด้วย เพราะนี่คือเงินหรือทรัพย์สินใกล้เงินที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

ประเทศไทยในช่วงปี 2535 หรือ 5 ปี ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 นั้น เรามีเงินทุนสำรองอยู่ที่ 21.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งเท่ากับปริมาณที่สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ประมาณ 7 เดือน ซึ่งก็ถือว่ามีเงินสำรองค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2535 ประเทศไทยก็ขาดดุลการค้าคือซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปี 2539

โดยเหตุผลที่ซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้านั้นไม่ใช่เพราะเราผลิตไม่พอในการบริโภค แต่เป็นเพราะเราผลิตเพิ่มขึ้นเร็วมากโดยที่ GDP โตเฉลี่ยถึงปีละ 7.94% ซึ่งทำให้เราต้องนำเข้าสินค้าที่เป็นเครื่องจักรที่มีราคาแพงมาก และก็เช่นเดียวกัน เราต้องซื้อบริการจากต่างประเทศมากกว่าที่ขายบริการมาตลอด เช่น เรื่องของการขนส่งสินค้า การประกันภัย และอื่น ๆ นั่นทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากถึงประมาณเกือบ 8% ของ GDP ในปี 2539

ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คือ เราใช้เงินเกินตัวมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2535-2539 นั้น เราสามารถอยู่ได้เพราะมีเงินทุนสุทธิที่เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละประมาณ 15.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ดุลชำระเงินเป็นบวกทุกปี เฉลี่ยปีละ 4.1 พันล้านเหรียญ ซึ่งส่งผลให้เงินทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดสูงสุดในปี 2539 ที่ประมาณ 38.7 พันล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าถึง 7.3 เดือน เรารู้สึกว่าประเทศไม่น่าจะล้มละลายได้ง่าย

ว่าที่จริงในช่วงนั้น เราเป็น “ดารา” ของโลก เป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” แต่สิ่งที่เราอาจจะลืมไปก็คือ เงินที่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยในช่วงนั้น จำนวนมโหฬารเป็น “เงินกู้” สกุลดอลลาร์ที่เรียกว่า “BIBF” ที่มีดอกเบี้ยต่ำมาก และเป็นเงินกู้ระยะสั้นที่เจ้าหนี้สามารถเรียกคืนได้ภายใน 1 ปี

ก็อย่างที่เรารู้หลังจากเหตุเกิดแล้วนั่นก็คือ พอถึงปี 2540 ประเทศไทยก็แทบจะ “ล้มละลาย” เงินสำรอง 38.7 พันล้านดอลลาร์ที่มีอยู่นั้น ถูกดึงออกไปโดยเฉพาะเพื่อใช้หนี้จำนวนกว่า 100 พันล้านเหรียญ ที่เจ้าหนี้เรียกร้องคืนและน่าจะรวมถึงนักลงทุนชาวต่างประเทศในตลาดหุ้นที่รีบขายหุ้นนำเงินออกไปก่อนที่เงินบาทที่ขายหุ้นได้จะมีค่าน้อยลงมาก เงินสำรองช่วงก่อนที่จะ “ล้มละลาย” ถ้าผมจำไม่ผิดเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ และถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจาก IMF เราก็คงล้มละลายไปแล้ว

กลับมาสู่วันนี้ในปี 2565 และย้อนหลังไปถึงปี 2560 ฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมากกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นช่วงที่ “อ่อนแอ” ที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน เงินสำรองทางการของไทยอยู่ที่สูงเกือบที่สุดที่ 246 พันล้านเหรียญ สามารถนำสินค้าเข้าได้ถึง 1 ปี และสูงกว่าหนี้ทั้งหมดของประเทศที่อยู่ที่ประมาณ 197.5 พันล้านเหรียญ ของตัวเลขปี 2564

ถ้าพูดถึงเรื่องรายได้จากการขายของและบริการของประเทศเทียบกับรายจ่ายนั้น ตั้งแต่ปี 2560-2563 เราได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอดเฉลี่ยปีละประมาณ 32.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งก็เกิดจากการได้เปรียบทั้งดุลการค้า และดุลบริการ ซึ่งในอดีตนั้นไทยมักจะขาดดุล แต่ด้วยอานิสงส์ของการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้ไทยเกินดุลบริการมาตลอดตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งเริ่มขาดดุลในปี 2563 ที่เกิดโควิด-19 ที่ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวหายไป จนถึงวันนี้ที่เราเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในเวลาอีกไม่นานรายได้ของไทยก็น่าจะกลับมาเพียงพอกับค่าใช้จ่ายได้

สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับไทยก็คือ ดุลบัญชีทุนที่ติดลบมานานอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจไทยโตช้าและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมาก ตั้งแต่ 10 ปีมาแล้ว เงินทุนชาวต่างชาติย้ายหรือถอนออกสุทธิจากประเทศไทยทุกปี เฉลี่ยปีละ 12.8 พันล้านเหรียญ หรือปีละ 4-5 แสนล้านบาท ซึ่งนี่ก็รวมถึงเงินที่ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยและทุนที่คนไทยนำออกไปลงทุนในต่างประเทศจำนวนมากด้วย

นอกจากนั้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็ยังมีประเด็นสำคัญในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่าของอเมริกามาก ซึ่งถ้าไม่แก้ไขเราก็อาจจะประสบกับการถอนเงินลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นเงินกู้เพิ่มขึ้น และนั่นก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการเงินได้ ผมก็ได้แต่หวังว่าผู้รับผิดชอบการดูแลเศรษฐกิจและการเงินของประเทศจะไม่ทำผิดอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2540 อีก