ฎีกาพิพากษายืนคุก 4 คนร้าย 33 ปี 4 เดือน วางระเบิดปากซอยรามคำแหง 43/1 ปี 56

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 เมษายน ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.3723/2556 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม หรือโจ สะอะ อายุ 28 ปี ชาว จ.ปัตตานี, นายอิคดริส หรือเยะ สะตาปอ อายุ 28 ปี ชาว จ.นราธิวาส, นายคัมภีร์ หรือภีร์ ลาเต๊ะ ชาว จ.ปัตตานี และนายอิบรอเฮง หรือเฮง แวแม ชาว จ.ปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และ ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร

คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยงคืน จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะ หน้าร้านออกัส ซ.รามคำแหง 43/1 จนระเบิดขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 402,000 บาท หลังเกิดเหตุทั้งหมดพากันหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย เกิดเหตุที่หน้าร้านทำผมออกัส ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 เห็นว่าจำเลยทั้งสี่นำระเบิดแสวงเครื่องที่มีความรุนแรงระยะทำลายรัศมี 10-15 เมตร ไปวางในบริเวณหน้า ม.รามคำแหง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 224, 289, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 55 มาตรา 78 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และ 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต, ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบ ครอง ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต โดยให้ปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 90 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านฯ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นฯ และจำคุกอีกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานกระทำให้เกิดระเบิด และปรับคนละ 60 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมืองฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ คนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และให้ริบของกลาง รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้านค้า และหน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหายด้วย

ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2559 เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น แต่พนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกคำให้การรับสารภาพ มีการจัดให้จำเลยทั้งสี่ นำชี้จุดที่เกิดเหตุ รวมทั้งมีภาพบันทึกขั้นตอนการสอบสวนไว้ ที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าถูกบังคับให้รับสารภาพ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด ทั้งที่จำเลยทั้งสี่มีสิทธิคัดค้านได้ในชั้นสอบสวน พยานหลักฐานโจทก์เป็นลำดับขั้นตอนเชื่อมโยงกันว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำ ความผิดตามฟ้อง โดยไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงเรื่องพยานโจทก์จะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่าฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิด เพื่อฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 221, 222, 224 วรรคสาม, 289 (4), 80, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ.2490, ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, ฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่น, ฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของ ผู้อื่น และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสาม ที่เป็นบทลงโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 60 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

วันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจำเลยทั้งสี่จากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ตามจำเลยทั้ง 4 ยื่นฎีกานั้น ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขอถอนฎีกา จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ ส่วนจำเลยที่ 2 และ 4 ขอแก้ไขฎีกาเป็นการให้การรับสารภาพ ขอให้ลงโทษสถานเบา ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริง ไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สำหรับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น โจทก์มีพยานเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความจากการไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบชายต้องสงสัยถือถุงพลาสติกหายไปในจุดเกิดเหตุ เมื่อเดินกลับออกมาไม่มีถุงดังกล่าวก่อนเกิดเหตุระเบิด จากการสอบสวนทราบว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้นำระเบิดไปวาง จำเลยที่ 1, 2 และ 4 เป็นผู้สำรวจดูต้นทาง โดยจำเลยที่ 3 หลังถูกจับกุมยอมรับว่าภาพชายต้องสงสัยเป็นภาพตนเอง ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ โดยคำรับสารภาพได้ให้การไว้กับพนักงานสอบสวน มีทนายความและคณะกรรมการอิสลามร่วมอยู่ด้วย พยานหลักฐานโจทก์หนักแน่นเชื่อถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

 

ที่มา : มติชนออนไลน์