ภายใต้รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มิติใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดินเกิดขึ้นได้ทุกวัน เกิดขึ้นได้ทุกกระทรวง
วันนี้เป็นคิวของกระทรวงคมนาคม ที่มี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และมีอีกหนึ่งคีย์แมน “สุรพงษ์ ปิยะโชติ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางบก (ขบ.), กรมการขนส่งทางราง (ขร.), บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.), การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.), บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด, บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
ล่าสุด “รมช.สุรพงษ์” ปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” ผลักดันการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรม จัดโดยสภาองค์กรผู้บริโภค ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเร็ว ๆ นี้
“ราง” กระดูกสันหลังขนคน
“นโยบายรัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เป็นหนึ่งในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบกับองค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทยในอนาคตที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต พฤติกรรมการเดินทางของผู้คน รูปแบบในการทำธุรกิจและความต้องการในการเดินทาง อันเป็นผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์
โดยกระทรวงคมนาคมมีนโยบายบูรณาการระบบขนส่ง “ถนน-น้ำ-ราง” กำหนดหน้าที่การขนส่งให้เมืองใหญ่เป็นศูนย์กลางการคมนาคม และกระจายการเดินทางไปสู่ภูมิภาค โดยใช้ระบบราง รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง เป็นกระดูกสันหลังในการขนส่งผู้โดยสาร
ควบคู่กับระบบล้อ รถเมล์ EV แท็กซี่ EV สามล้อ EV เป็นระบบ Feeder เพื่อลดการสร้างมลพิษทางอากาศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น เพื่อการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ เพื่อให้ระบบการขนส่งสาธารณะมีความครอบคลุมสอดรับกับความต้องการใช้บริการของประชาชน
ภายใต้กลไกและศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามหลักการกระจายอำนาจที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เร่ง กม.ตั๋วร่วม D-Ticket
ทั้งนี้ “ทิศทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” สรุปสาระสำคัญได้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและพฤติกรรมการเดินทางของประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายใน 2 สายหลักคือ “สายสีม่วง+สายสีแดง” ซึ่งเป็นโครงการที่ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน
ส่วนจะเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสายกับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ หรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา
นอกจากเรื่องราคาค่าโดยสารแล้ว รัฐบาลยังได้พัฒนาระบบตั๋วร่วม ซึ่งร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ…. จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคม 2567
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบการจองตั๋วรถไฟผ่านระบบ D-Ticket โดยประชาชนสามารถขยายเวลาจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ จากเดิม 30 วัน เพิ่มสูงสุดเป็น 90 วัน และจัดเสริมขบวนรถ/พ่วงตู้ ให้เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน
2572 จุดเปลี่ยนประเทศไทย
ส่วนภาพรวมของการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะนั้น เชื่อว่าในปี 2572 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนของประเทศไทย เนื่องจากการขนส่งสาธารณะ ขนส่งสินค้า ถูกยกระดับให้สามารถบูรณาการเชื่อมโยงซึ่งกันและกันทั้งในไทย รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและลาว ทำให้ระบบขนส่งทางรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศผ่าน 60 จังหวัด
ส่วนที่เหลือจะเป็นระบบล้อ โดยรูปแบบบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส.ต้องไม่วิ่งแข่งขันระยะไกล แต่เปลี่ยนเป็นระบบฟีดเดอร์บริการขนส่งระยะใกล้ เพื่อส่งคนเข้าระบบรางที่เป็นขนส่งหลักของประเทศ
“อนาคตระบบขนส่งทางรางจะเป็นขนส่งหลักของประเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรถไฟทางคู่ที่มีรางขนาด 1 เมตร ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กับรถไฟความเร็วสูง มีความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดราง 1.43 เมตร ทำให้ร่นเวลาในการเดินทางและการขนส่งลง ทำให้รถบรรทุกหายไปจากท้องถนน และลดมลพิษ PM 2.5 ด้วย เพราะเมื่อรถไฟทางคู่เสร็จแล้ว จะมีทางรถไฟมากกว่า 8,000 กิโลเมตร ให้บริการประชาชนได้ 61 จังหวัด ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น”
หัวใจสำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของขนส่งมวลชนสาธารณะอีกประเด็นคือ การกระจายอำนาจในการจัดการระบบขนส่งมวลชนให้กับท้องถิ่นในการจัดการตัวเอง
โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้กฎกระทรวงให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการเดินรถของตัวเองได้ ทำให้เกิดการกระจายขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
“ผมเชื่อว่าให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการขนส่งสาธารณะ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพราะที่ผ่านมาจัดการโดยส่วนกลาง แต่หลังจากนี้จะไม่มีการส่งผ้าเป็นม้วนลงไปให้พื้นที่แล้ว แต่ให้แต่ละท้องถิ่นไปจัดการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะให้เหมาะสมกับท้องที่ของตัวเอง ซึ่งท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งจะรู้ว่าต้องจัดระบบขนส่งมวลชนแบบไหน ที่จะตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่”