จับตา อัพเกรด Ethereum ปล่อยสภาพคล่อง 2.6 หมื่นล้านเหรียญ

Ethereum - คริปโตฯ

Ethereum เตรียมอัพเกรด Shanghai ในอีกสองเดือน ปลดล็อกสภาพคล่องบน Beacon Chain ให้เคลื่อนย้ายอิสระ มูลค่ารวมกว่า 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ในชุมชนคริปโคเคอร์เรนซี กำลังจับตาการอัพเกรดระบบเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์อันดับสองของตลาด

การอัพเกรด Shanghai บนเครือข่าย Ethereum กำหนดไว้ราวเดือนมีนาคม 2023

โดย Shanghai fork จะใช้ EIP-4895 ซึ่งช่วยให้ผู้ตรวจสอบธุรกรรมสามารถถอนเหรียญ ETH ที่ล็อกกับระบบ (Stake) ไว้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020

Ethereum ตั้งเดิมเป็นบล็อกเชนที่ใช้ระบบฉันทามติ Proof of Work เช่นเดียวกับเครือข่าย Bitcoin ซึ่งใช้ฮาร์ดแวร์ในการคำนวนสมการหรือ “การขุด” เพื่อยืนยันธุรกรรม ต่อมาเริ่มประสบปัญหาธุรกรรมหนาแน่นจึงมีการพยายามเปลี่ยนระบบไปใช้ Proof of Stake ที่ใช้กลไกการล็อกเหรียญหรือ Stake ไว้กับเครือข่ายเพื่อช่วยคำนวนและยืนยันธุรกรรม

โดยเครือข่าย Ethereum มีการแยกเป็นสองเครือข่ายคือ Mainnet (เครือข่ายหลัก) และ Beacon Chain (เครือข่ายที่ใช้ระบบ Proof of Stake) ควบคู่กัน

ต่อมาในเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา Ethereum มีการอัพเกรดใหญ่ “The Merge” คือการรวมสองเครือข่ายดังกล่าวเข้าด้วยกันเป็นระบบ Proof of Stake อย่างสมบูรณ์ ทำให้ Ethereum ไม่สามารถถูกขุดโดยฮาร์ดแวร์ได้อีกต่อไป จะได้เหนียญเพิ่มก็จากค่าธรรมเนียมการเป็น Node Validator หรือผู้ยืนยันธุรกรรมที่ต้อง Stake เหรียญไว้กับระบบขั้นต่ำ 32ETH เท่านั้น ทำให้ Ethereum มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะฝืดเคือง

โดยการอัพเกรด Shanghai จะสืบเนื่องจาก The Merge คือ จะทำให้เหล่า Node Validator สามารถถอนเหรียญ ETH ที่ Stake ไว้บน Beacon Chain ก่อนการรวมเครือข่ายใน The Merge ทำให้เหรียญเหล่านั้นเคลื่อนย้ายโดยอิสระไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหรือการย้าย Node

ที่น่าจับตาคือ ปัจจุบันประมาณ 14% ของซัพพลายเหรียญ ETH ทั้งหมด ถูก Stake บน Beacon Chain หรือราวคิดเป็น 16 ล้านโทเค็น กำลังถูกปลดออกสู่เครือข่ายหลัก

เมื่อเทียบมูลค่าปัจจุบันของราคา ETH จะมีมากกว่า 2.6 หมื่นเหรียญสหรัฐ ที่ถูกปลดมาเป็นสภาพคล่องสามารถเคลื่อนย้ายได้เสรี

Shanghai fork ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติอื่นให้เครื่อข่าย ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อลดต้นทุนค่าธรรมเนียม หรือ Gas Fee สำหรับนักพัฒนา Ethereum รวมถึงการเพิ่มการขยายขนาดบล็อกเชนให้รองรับการทำงานได้อย่างหลากหลาย