ล้อมคอกภัยไซเบอร์ การปกป้องข้อมูลประชาชน กับต้นทุนที่มองไม่เห็น

ภาพโดย Pete Linforth จาก Pixabay

9near แฮกข้อมูลคนไทยกว่า 55 ล้านรายชื่อ เรียกค่าไถ่ข้อมูล ประชาชนขวัญผวา กูรูชี้ค่าใช้จ่ายในการปกป้องข้อมูลเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงต้นทุนในการกู้คืนข้อมูล และการชดใช้ค่าเสียหายจากการฟ้องร้อง

สืบเนื่องจากกรณีเว็บไซต์ 9near.org เปิดเผยว่า ได้โจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลจากองค์กรของรัฐกว่า 55 ล้านรายชื่อ ซึ่งมีตั้งแต่ข้อมูลที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน ไปจนถึงเบอร์โทรศัพท์มือถือ 

แม้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะรีบดำเนินการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ 9near.org แล้ว แต่ยังมีคำถามตามมาอีกว่า ข้อมูลที่รั่วไหลไปแล้วจะได้รับการปกป้อง กู้คืน หรือปราบปรามผู้กระทำผิดได้สักแค่ไหน เพราะมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการเก็บสำรองข้อมูลไว้เพื่อขายต่อในตลาดมืดที่ใดที่หนึ่งในโลกอินเทอร์เน็ตได้อีกหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การโจรกรรมข้อมูลทั้งข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นในการวางมาตรการป้องกันต่าง ๆ 

ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ นายพลสุธี ธเนศนิรัตศัย ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งนายพลสุธีเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Forensics หรือการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อหาช่องโหว่และสร้างระบบความปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล 

นายพลสุธีกล่าวว่า แนวโน้มการโจมตีทางไซเบอร์ในองค์กรขนาดใหญ่จะไม่ใช่แค่การโจมตีด้วยไวรัสเรียกค่าไถ่ (Ransomware หรือ Malware) เท่านั้น อีกทั้งยังต้องเสียค่าจ้างในการตรวจสอบและกู้คืนข้อมูล และหากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีการบังคับใช้เข้มงวด ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายทางแพ่งอีกมหาศาล

“ปีที่แล้วความเสียหายจากการโดนโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกสูงกว่า 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 8 ล้านล้านเหรียญในปีหน้า ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการปกป้องปีที่แล้วสูงถึง 1.72 แสนล้านเหรียญ จะเพิ่มเป็น 1.94 แสนล้านเหรียญในปี 2566”

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่ทวีคูณขึ้นจากความสามารถในการโจมตีที่ไม่ต้องใช้ “แฮกเกอร์” จากการขายเครื่องมืออย่างง่ายสำหรับแฮกเกอร์ในตลาดมืด “แรนซัมแวร์” กลายเป็น as-a-services ทำให้อาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มสูงขึ้น 12% ตั้งแต่ปี 2558 ส่งให้เบี้ยประกันทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 22%

ทั้งนี้ การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล หรือภัยคุกคามทางไซเบอร์นั้นมีเจตนาที่หลากหลาย หลัก ๆ แล้วเป็นการโจมตีด้วยมัลแวร์หรือแรนซัมแวร์ ที่มีเครื่องมือบริการด้านการโจรกรรมขายให้ใช้งานอย่างสะดวก เมื่อเข้าถึงฐานข้อมูลมักจะมีการล็อกไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่ 

ส่วนลักษณะการนำข้อมูลไปขายในตลาดมืดนั้น มีความเสี่ยงคือไม่รู้ว่าจะมีใครต้องการข้อมูลนั้น ๆ หรือไม่ จะขายได้อย่างไร ทำให้การขายข้อมูลอาจได้ราคาที่ต่ำกว่าราคาที่บริษัทหรือองค์กรเจ้าของข้อมูลนั้นประสงค์จ่าย เพื่อรักษาข้อมูลที่สำคัญของลูกค้าของตน

นายพลสุธีบอกด้วยว่า การฟ้องร้องเพื่อเอาผิดองค์กรหรือบริษัทที่ปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล โดยทั่วไปจะพิจารณาเป็นรายกรณี หรือรายยูสเซอร์ หมายความว่าข้อมูลเพียง 1GB อาจมีข้อมูลส่วนตัวของยูสเซอร์จำนวนหลายร้อยหลายพันคน ดังนั้น การชดใช้ค่าเสียหายจึงต้องคิดทีละราย ด้านค่าบำรุงรักษา และสร้างระบบป้องกันความปลอดภัยเชิงระบบ คาดการณ์ว่าอาจใช้ต้นทุนสูงถึง 6,000 บาท ต่อยูสเซอร์เลยทีเดียว