TikTok แก้เกมรัฐบาลอินโดฯ ทุ่ม 5 หมื่นล้าน ถือหุ้นอีคอมเมิร์ซเจ้าถิ่น

TikTok-GoTo
REUTERS/Dado Ruvic

TikTok ทุ่ม 5 หมื่นล้านบาท เข้าถือหุ้นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ “GoTo” แก้เกมรัฐบาลอินโดนีเซีย หลังออกมาตรการห้ามซื้อขายสินค้าบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

วันที่ 11 ธันวาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ยักษ์แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นสัญชาติจีน “TikTok” จะเข้าถือหุ้นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียอย่าง “GoTo” ที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง Gojek ผู้ให้บริการรถโดยสาร และ Tokopedia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เป็นมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ (5.3 หมื่นล้านบาท)

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว TikTok จะซื้อหุ้นจำนวน 75.01% ในส่วนของ Tokopedia ที่เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ในราคา 840 ล้านดอลลาร์ (2.9 ล้านบาท) และจะอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ เพื่อขยายธุรกิจของ TikTok Shop ในอินโดนีเซียผ่านกิจการของ Tokopedia

ทั้งนี้ ข้อตกลงการเข้าถือหุ้น GoTo ของ TikTok ถือเป็นกลยุทธ์ที่ TikTok ใช้เพื่อแก้เกมมาตรการของรัฐบาลอินโดนีเซียที่สั่งห้ามไม่ให้มีการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อป้องกันการนำข้อมูลของผู้ใช้มาใช้ในเชิงธุรกิจและการซื้อขายสินค้า ส่งให้บริการ TikTok Shop ต้องปิดตัวในอินโดนีเซียช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

แถลงการณ์ของ TikTok และ GoTo เปิดเผยว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์จะเริ่มด้วยการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่มีส่วนในการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และ TikTok ตั้งใจที่จะลงทุนมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในการขยายกิจการเมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งจะไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ GoTo ในภาพรวม

ปัจจุบันประชากรในอินโดนีเซียมีมากกว่า 270 ล้านคน และเป็นผู้ใช้งาน TikTok อยู่ถึง 125 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงตลาดขนาดใหญ่ที่ TikTok พยายามใช้เพื่อสร้างรายได้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกของปี 2567 และ Tokopedia จะได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินจาก TikTok จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ (3.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนภายในบริษัทได้

การแก้เกมในธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ TikTok ทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองการแข่งขันของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซียที่มีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง “ช้อปปี้” (Shopee) และ “ลาซาด้า” (Lazada) มากขึ้น รวมถึงเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขยายตัวจาก 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (2.2 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ เป็น 1.6 แสนล้านดอลลาร์ (5.7 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573 ด้วย