“ตรีผลา” ทำสเปรย์น้ำแร่ ชูแหล่งธรรมชาติ “ตราด” ส่งกัมพูชา

สัมภาษณ์

“น้ำแร่ธรรมชาติ” เริ่มได้รับความนิยมกับกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ ด้วยราคาเข้าถึงง่าย ยิ่งมีผลวิเคราะห์วิจัยที่สร้างความเชื่อมั่น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “ดร.ณัฏฐวงศ์ ชาวเวียง” ผู้ผลิตน้ำแร่ธรรมชาติ “บริษัท ตรีทิพย์ธารา จำกัด” แห่งแรกในจังหวัดตราด

จากเครื่องดื่มสมุนไพร สู่น้ำแร่

ดร.ณัฏฐวงศ์ ชาวเวียง กล่าวว่า ธุรกิจน้ำแร่ธรรมชาติของ “บริษัท ตรีทิพย์ธารา จำกัด” เติบโตมาจากธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่มสมุนไพรตรีผลา ของ คุณแม่ “ปภินพิทย์ ปภัสร์วิจิตร์” ซึ่งเรียนจบแพทย์แผนไทย ด้านเภสัชกรรมไทย ที่ทำธุรกิจมาร่วม 10 ปี ภายใต้ “บริษัท เฮ้ลตี้โฮม ตรีผลา จำกัด” มีตลาดและตัวแทนจำหน่ายทั้งภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา ยอดขายเติบโตดีถึงทุกวันนี้

เมื่อปี 2561 คุณแม่ขยายธุรกิจทำโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำแร่ธรรมชาติที่ ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด ภูมิลำเนาเดิม โดยพบว่าบ่อบาดาลที่ขุดเจาะลงไปลึกถึง 94 เมตร นำน้ำไปตรวจวิเคราะห์ซ้ำ 2-3 รอบ จากกรมทรัพยากรธรณี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 9 (ระยอง) และผลตรวจตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 199) เรื่องน้ำแร่ธรรมชาติ

พบว่ามีแร่ธาตุสำคัญ 9 ชนิด คือ คลอไรด์ ฟลูออไลด์ ซัลเฟรต แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียมซิลิกา ไบคาร์บอเนต เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ได้ใบรับรองจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 9 ปี 2562 จึงคิดทำโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำแร่ธรรมชาติขึ้น

ตั้ง รง.ผลิตมาตรฐาน HACCP

ผมเองจบปริญญาเอกด้านการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม บวกกับประสบการณ์ทำงานโรงงานของบริษัท เฮ้ลตี้โฮม ตรีผลาฯ จึงนำความรู้ที่มีมาควบคุมการผลิตในโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน HACCP GMP, GMP Cordex องค์ประกอบการผลิตมี 3 ส่วน คือ 1) ที่ตั้งบ่อบาดาล ติดตั้งเครื่องสูบน้ำระบบปิดเป็นห้องมิดชิด และส่วนของโรงงานมี 2 ส่วน คือ ห้องปรับปรุงคุณภาพน้ำและห้องบรรจุขวด ซึ่งในขั้นตอนการผลิตตั้งแต่สูบน้ำจากบ่อบาดาลมาถึงบรรจุขวด ผู้บริโภคเปิดฝาดื่ม จะไม่ผ่านขั้นตอนการสัมผัสมือ จึงรับรองความสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อน

การสูบน้ำแร่ธรรมชาติจากบ่อบาดาลความลึก 94 เมตร ผ่านท่อมาพักในถังน้ำขนาด 3,000 ลิตร ในห้องปรับปรุงคุณภาพน้ำ ให้ระบายแก๊สอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และส่งเข้าเครื่องไส้กรองแมงกานีส คาร์บอน และเรซิ่น เพื่อดับกลิ่นแยกสีออก ทำให้น้ำใส โดยแร่ธาตุอื่น ๆ ยังคงอยู่ ส่งไปเก็บไว้ในถังอะลูมิเนียม

น้ำที่ส่งไปห้องบรรจุผ่านการกรองฆ่าเชื้อโรคจากไส้กรองเซรามิก 2 ชุด ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ด้วยโอโซนและแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ห้องบรรจุต้องปราศจากเชื้อ ติดตั้งเครื่องดักแมลง ติดม่านไล่ทั้งแมลงที่เป็นพาหะนำโรค เครื่องจักรที่ทำงานเป็นเครื่องอัตโนมัติ super box เก็บไว้ที่ถังขนาด 50 ลิตร เครื่องทำการล้างขวดด้วยน้ำแร่ บรรจุขวดด้วยเครื่องและปิดฝา จากนั้นจะเลื่อนไปหุ้มห่อพลาสติกเป็นแพ็กเกจจิ้งเพื่อรอการจำหน่าย

“ความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มาตรฐาน HACCP ผลิตส่งตลาดต่างประเทศได้ ก่อนเดินเครื่องจักรทำงาน 1 วัน ต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อภายในโรงงาน เครื่องจักรโดยเฉพาะในส่วนหัวบรรจุที่สัมผัสกับน้ำต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ด น้ำแร่จากบ่อบาดาล กระบวนผลิตตั้งแต่สูบน้ำแร่จากบ่อมาบรรจุขวดถึงผู้บริโภคเปิดฝาดื่ม ไม่มีการสัมผัสมือ มั่นใจได้ว่าปราศจากสารปนเปื้อน ห้องบรรจุใช้พนักงาน QC เพียง 2 คน ดูแลการผลิตให้เป็นไปตามระบบ”

ตลาด “กัมพูชา” ยอดขายพุ่ง

ดร.ณัฏฐวงศ์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์จะทำเป็น 2 แบรนด์ คือ อัลฟ่า (ALPHA) ขนาด 500 มล. และมินอร่า (MINORA) ขนาด 320 มล. การทำตลาดน้ำแร่ค่อนข้างยาก แม้จะไม่มีคู่แข่งขัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักน้ำแร่ธรรมชาติว่ามีคุณประโยชน์ต่างจากน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปอย่างไร ที่สำคัญราคาแพงกว่าแม้จะไม่มาก ระยะแรก ๆ พยายามชูจุดเด่นน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาด มีการตรวจวิเคราะห์แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้

และพยายามเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทั้งสื่อวิทยุ สิ่งพิมพ์ โซเชียลมีเดีย และการออกบูทแนะนำสินค้า การนำสินค้าไปให้ลูกค้าทดลองตามที่ประชุมต่าง ๆ และระยะหลังได้นำผลิตภัณฑ์เข้าคัดสรรหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของจังหวัดตราด (Product Champion : OTOP) ได้ระดับ 5 ดาวทั้ง 2 แบรนด์ ทำให้ค่อย ๆ ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเพราะเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น

ความนิยมของลูกค้าภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านต่างกัน และกลุ่มลูกค้าที่บริโภคต่างกัน จึงต้องทำผลิตภัณฑ์ 2 แบรนด์ คือ แบรนด์อัลฟ่า (Alpha) ฝาเป็นสีเขียว ขนาด 500 มล. เป็นตลาดคนไทยเป็นหลัก ส่วน มินอร่า (Minora) ฝาเป็นสีชมพู ขนาด 320 มล. เป็นตลาดกัมพูชา ที่ชอบฝาขวดสีสดใสโดดเด่น

ทั้งนี้ตลาดเมืองไทยมีขายทั้ง 2 แบรนด์ ต่อมาเพิ่มการผลิตขนาด 1,500 มล. ใช้แบรนด์ TRAT ตราด เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการน้ำขวดใหญ่ เช่น บ้าน ครอบครัว หรือคนขับรถ ซึ่งราคาขายหน้าบ่อราคาแพ็กละ 50 บาทเท่ากัน แตกต่างที่จำนวนขวด คือ อัลฟ่าแพ็กละ 12 ขวด มินอร่า 16 ขวด TRAT ตราด 6 ขวด เป็นราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย ค่าขนส่งให้ลูกค้าคิดเพิ่ม 10 บาท แต่ 500 แพ็กจัดส่งฟรี ส่วนกรุงเทพมหานคร ถ้าสั่ง 500 แพ็กขึ้นไป คิดราคาแพ็กละ 70 บาท

อัตราการเติบโตปี 2562-2563 ประมาณ 20% เพราะมีช่วงโควิด-19 ที่ลดลง ตลาดภายในและเพื่อนบ้านกัมพูชาสัดส่วน 80:20 การทำตลาดภายในประเทศยากกว่าตลาดเพื่อนบ้านกัมพูชา แม้ว่าจะเป็นสินค้า OTOP 5 ดาว ในจังหวัดตราดเองยังนิยมน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปที่ผ่านกระบวนการด้วยแสงอัลตราไวโอเลต (UV) เพราะราคาถูกกว่า ปัญหาคือคนยังรู้จักน้อย และไม่เข้าใจว่าน้ำแร่ดื่มเพื่อสุขภาพ และมีกระบวนการผลิตตามมาตรฐานที่ซับซ้อน HACCP ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่า กว่าลูกค้าจะเริ่มยอมรับใช้เวลาประมาณ 6 เดือน

ตอนนี้วางขายร้านค้าในตัวเมืองจังหวัดตราด 4-5 แห่ง ตลาดเพื่อนบ้านกัมพูชากลับทำง่ายกว่า ทำตลาดโดยตรงให้กลุ่มผู้จัดจำหน่าย เพราะมีฐานกลุ่มลูกค้าที่รู้จักจากเครื่องดื่มสมุนไพรตรีผลา จะเข้าไปแนะนำผลิตภัณฑ์สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ตอนนี้มีลูกค้าประจำซื้อส่งไปจำหน่ายพนมเปญ พระตะบอง บันเตียเมียนเจย เกาะกง

“โรงงานผลิตทั้งเป็นแบรนด์ของบริษัท ตรีทิพย์ธารา จำกัด และรับจ้างผลิต (OEM) ให้ร้านค้าสหกรณ์ โรงพยาบาล จังหวัดตราด บริษัทเอกชน ชุมนุมสหกรณ์ในกรุงเทพมหานคร ส่วนกัมพูชาใช้แบรนด์ ฉลากชื่อภาษาไทยเช่นเดียวกับจำหน่ายในไทย เพราะนิยมสินค้าไทยอยู่แล้ว ปัจจุบันผลิตตามออร์เดอร์ของลูกค้า ประมาณวันละ 8,000 ขวดกะเดียว ถ้าต้องการปริมาณเพิ่มขึ้นสามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้ วันละ 3 กะ ประมาณ 24,000 ขวด/วัน” ดร.ณัฏฐวงศ์กล่าว

สเปรย์น้ำแร่…ต่อยอดผลิตภัณฑ์

ด้วยภูมิความรู้ทางด้านแพทย์แผนไทย คุณปภินพิทย์จึงได้คิดต่อยอดผลิตภัณฑ์น้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่มีส่วนประกอบธาตุซิลิก้า นำมาผสมกับน้ำกลั่นใบย่านางผสมใบเตยเข้มข้น กับสารสกัดจากแตงกวา ว่านหางจระเข้ มะเขือเทศ ผลิต “สเปรย์น้ำแร่ ตราด TRAT พลัส” ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ปกป้องแสงแดด ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยา (อย.) เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งจากน้ำแร่ธรรมชาติ