ลอรีอัล มั่นใจความงามโตแรง ลุยชิง GenZ-สูงวัย-ผู้ชาย หวังย้ำเบอร์1

Loreal
แพทริค จีโร

ยักษ์ “ลอรีอัล” ยกตลาดความงามไทย 2.85 แสนล้าน ศักยภาพสูง หลังปี’66 โต 12% เร็วแซงตลาดโลก-ภูมิภาค ส่วนปี’67 คาดโตเพิ่ม 8% ลั่นเร่งสปีดธุรกิจชิงลูกค้า 3 กลุ่มมาแรงทั้ง Gen Z-สูงวัย-ผู้ชาย ด้วยสินค้า-แบรนด์ใหม่ หวังชิงความได้เปรียบรับมือการแข่งขัน พร้อมปั้นรายได้ปี 2567 โตดับเบิลดิจิต

นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดความงามและ personal care ของไทย นับเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค SAPMENA ที่ประกอบด้วย เอเชีย-แปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ สะท้อนจากการเติบโตที่สูงกว่าทั้งค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและของโลก หลังปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดความงามทั่วโลกเติบโต 8% ขณะที่ตลาดความงามและ personal care ของไทยเติบโต 12% จนมีมูลค่าถึง 2.85 แสนล้านบาท ต่อเนื่องจากปี 2565 ที่เติบโต 9%

โดยเมื่อดูเฉพาะส่วนความงาม ที่ไม่รวมสบู่, สบู่เหลว, ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกาย และผลิตภัณฑ์โกนหนวดชายแล้ว ตลาดจะมีมูลค่า 1.85 แสนล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเป็นตลาดใหญ่ที่สุดมีมูลค่าที่ 1.13 แสนล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันกลุ่มเมกอัพยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยมูลค่าตลาด 2.27 หมื่นล้านบาท และกลุ่มน้ำหอมมีมูลค่า 1.02 หมื่นล้านบาท

“ในช่วงเดียวกันนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป เติบโตในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และธุรกิจในไทยเติบโตสูงสุดในรอบ 20 ปี จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น”

ตลาดโตแรง-แข่งขันดุ

ส่วนปี 2567 นี้ ตลาดความงามและ personal care ในไทยอาจโตได้ถึง 8% ขณะที่ตลาดโลกคาดว่าจะโต 4-5% เท่านั้น สะท้อนจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ตลาดโต 2 หลักแล้ว ทั้งนี้ เป็นผลจากพฤติกรรมการดูแลผิวพรรณของผู้บริโภคชาวไทยละเอียด-ซับซ้อนใกล้เคียงกับประเทศหลัก ๆ อย่าง ยุโรป สหรัฐ หรือญี่ปุ่น โดยมีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและความงามหลากหลาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน รวมถึงยังมีโอกาสพิเศษต่าง ๆ ที่ต้องการการดูแลด้านความงามไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานรับปริญญา ฯลฯ ขณะเดียวกันการขยายตัวของชนชั้นกลางทำให้คาดว่าในปี 2573 จะมีฐานผู้บริโภคมากกว่า 50 ล้านคน

ขณะที่ตลาดความงามไทยเติบโตสูง การแข่งขันยังดุเดือดมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดตลอดเวลา หลังความแพร่หลายของอีคอมเมิร์ซและโซเชียลมีเดียอย่าง ติ๊กต๊อก ทำให้การส่งแบรนด์เข้าสู่ตลาดทำได้ง่ายขึ้นมาก จนมีแบรนด์ใหม่ทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมากเปิดตัวพร้อมส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งแบรนด์หลักของวงการต่างเข้ามาทำตลาดในไทยจนครบแล้ว

การแข่งขันดุเดือดนี้เป็นปัจจัยท้าทายที่ทำให้บริษัทต้องหายุทธศาสตร์มารับมือ อย่าง กลยุทธ์ One L’Oreal ที่มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรทั้งด้านบุคลากร ด้านธุรกิจ และด้านความยั่งยืน เพื่อขึ้นเป็นบริษัทความงามอันดับ 1 ในด้านธุรกิจและภาพลักษณ์ในสายตาของผู้บริโภค ไม่ว่าจะด้วยการขยายฐานไปยังผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงด้านความต้องการสินค้า และด้านจำนวนที่ขยายตัวต่อเนื่องในระยะยาว อย่าง กลุ่ม Gen Z กลุ่มสูงวัย และผู้ชาย ด้วยการส่งสินค้า นวัตกรรม และการสื่อสารในช่องทางใหม่ ๆ การเพิ่มแบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาด ไปจนถึงการอัพเกรดสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เพื่อเสริมศักยภาพของทีมงาน และมีแผนจะผลักดันทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลักคือ ผลิตภัณฑ์อุปโภค, ความงามชั้นสูง, ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ และเวชสำอาง โดยจะเน้นหนักในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว กลุ่มผลิตภัณฑ์เมกอัพ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และเติบโตสูง

3 เซ็กเมนต์ศักยภาพสูง

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า สำหรับสินค้าที่กลุ่มวัยรุ่น Gen Z และสูงวัยต้องการนั้น พื้นฐานจะเป็นสกินแคร์ แต่ฟังก์ชั่นจะแตกต่างกัน โดยกลุ่ม Gen Z จะต้องการฟังก์ชั่นด้านความชุ่มชื้น หรือดูแลปัญหาสิว ส่วนสูงวัยจะต้องการชะลอวัย ลดริ้วรอย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีความพร้อมรองรับทั้ง 2 กลุ่มทั้งในระดับแบรนด์ และหมวดสินค้า เช่น การ์นิเย่ ซึ่งมีสินค้าสำหรับกลุ่ม Gen Z เยอะ หรือ ลอรีอัล ปารีส ที่แม้จะไม่ได้จับกลุ่มสูงวัยโดยตรง แต่มีภาพลักษณ์และไลน์สินค้าด้านลดริ้วรอยชะลอวัย

ส่วนกลุ่มผู้ชาย ปัจจุบันมีการใช้งานสินค้าด้านทำความสะอาดผิวอย่าง คลีนซิ่ง โฟมล้างหน้า ฯลฯ โดยในอนาคตมีโอกาสขยายไปสู่เครื่องสำอางได้ด้วย สะท้อนจากตลาดที่เทรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้ชายแพร่หลายมานานอย่าง เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

“การขยายฐานผู้บริโภคทั้ง 3 กลุ่มนี้ จะใช้ยุทธศาสตร์หลากหลายทั้งการเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ สำหรับตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละกลุ่ม รวมถึงปรับรูปแบบการสื่อสารและทำตลาดให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มด้วย”

ส่วนของการเพิ่มสินค้าใหม่นั้นจะอาศัยจุดแข็งของการเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีฐานในประเทศ ด้วยการเลือกสินค้าและกลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จ-ได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆ เข้ามา เช่น จากยุโรป หรือญี่ปุ่น ซึ่งบริษัททำตลาดความงามสำหรับกลุ่มสูงวัย และผู้ชายมานานกว่าไทย หรือสินค้าสำหรับ Gen Z จากอินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเร่งสปีดการทำธุรกิจให้รวดเร็วขึ้นกว่าการพัฒนาสินค้า หรือรูปแบบการทำตลาดใหม่ตั้งแต่ต้น

พร้อมปรับกลยุทธ์การสื่อสารและการทำตลาดเพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายและรับมือการแข่งขันที่ดุเดือดไปพร้อมกัน เช่น ใช้ศูนย์อบรมช่างผมเป็นสตูดิโอจัดไลฟ์สดโปรโมตสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อรับมือการแข่งขันกับแบรนด์หน้าใหม่ที่มักแข็งแกร่งในช่องทางออนไลน์และโซเชียล รวมถึงเข้าถึงกลุ่ม Gen Z คู่กับการชูจุดเด่นด้านฟังก์ชั่นและนวัตกรรมของสินค้าให้เห็นชัดเจน เนื่องจากในตลาดความงามผู้บริโภคให้น้ำหนักการตัดสินใจกับผลลัพธ์ของสินค้าเป็นอันดับแรก ๆ หากใช้แล้วเห็นผลจริง อย่าง ความชุ่มชื้นของผิว หรือการปิดผมขาว จะสามารถเอาชนะปัจจัยราคาได้

“นวัตกรรมถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดความงาม เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ชิงฐานผู้บริโภคได้ชะงัดและย้ำความต่างของแบรนด์ได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ลิปสติกที่ติดทนนาน แต่ทาแล้วไม่รู้สึกรำคาญ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของผู้บริโภคหญิง หากแบรนด์ไหนพัฒนาขึ้นมาได้จะได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก”

เดินหน้าเพิ่มทัพแบรนด์ใหม่

นอกจากสินค้าใหม่แล้ว ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสนำแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มเติม หลังปัจจุบันลอรีอัลประเทศไทยมีแบรนด์ทำตลาด 15 แบรนด์ จากทั้งหมด 37 แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทแม่

ทั้งนี้ แบรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาสามารถเป็นได้ทั้งแบรนด์ที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอ และแบรนด์ที่จะซื้อมาจากผู้เล่นรายอื่น หากมีความเหมาะสมสำหรับทำตลาดในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในตลาดประเทศไทยได้ภายในช่วงเวลา 12-18 เดือนหลังจากนี้

ด้านการสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เพื่อเสริมศักยภาพของทีมงานนั้น ล่าสุดบริษัทย้ายสำนักงานมายัง “Baan Beaute (บ้านโบเต้) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่และศูนย์กลางของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Beauty Meets Technology & Sustainability เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ทำงานร่วมกันและมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสอดคล้องกับสไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ รวมถึงเน้นให้ประหยัดพลังงานและทรัพยากรตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนอีกด้วย

“มั่นใจว่ายุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถเติบโตในระดับเลข 2 หลัก ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าตลาดได้แน่นอน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ย้ำในตอนท้าย