“ซักผ้าหยอดเหรียญ” ร้อนฉ่า แบรนด์นอกตบเท้าบุก-เร่งขายแฟรนไชส์

แฟรนไชส์ ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ

สะดวกซักหยอดเหรียญระดับพรีเมี่ยมแข่งแรง แบรนด์นอกดาหน้าบุกขอเป็นทางเลือก “อ๊อตเทริ” แบรนด์ไทยสไตล์ญี่ปุ่น เดินหน้าเสริมแกร่งทุกจุดขาย เพิ่มระบบไอโอที-บริการจับมือแบงก์เพิ่มความสะดวกขอสินเชื่อหวังดึงดูดลูกค้าแฟรนไชส์ มั่นใจสยายปีกครบ 130 สาขา

ร้านซักผ้าหยอดเหรียญหรือร้านสะดวกซักกำลังเป็นเทรนด์มาแรง ด้วยดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเขตเมืองและที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงอย่างคอนโดฯ หอพักและหมู่บ้านในแนวราบ รวมถึงไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ทำให้บริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างการซักผ้า-อบผ้า กลายเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ สอดคล้องกับภาพความเคลื่อนไหวของตลาดเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ผุดขึ้นเต็มพื้นที่ทั่วทุกหย่อมหญ้า ผู้ประกอบการไทย-ต่างประเทศตบเท้าเข้ามาด้วยธุรกิจพร้อมขายแฟรนไชส์

ต่างชาติตบเท้าบุก

นายกวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารเชนร้านซักผ้าหยอดเหรียญหรือร้านสะดวกซักแบรนด์ “อ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย” (Otteri wash and dry) ซึ่งมีสาขากว่า 60 สาขาทั่วประเทศในเวลา 2 ปี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดร้านซักผ้าหยอดเหรียญในประเทศมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะใน กทม.และหัวเมือง เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและไลฟ์สไตล์ที่ยอมลงทุนแลกกับความสะดวกรวดเร็วในการทำงานบ้านต่าง ๆ รวมถึงการซักผ้า สะท้อนจากจำนวนร้านซักผ้าหยอดเหรียญที่ผุดขึ้นทั่วไป ทำให้ดึงดูดผู้ประกอบการธุรกิจนี้ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุนเปิดกิจการ-ขายแฟรนด์ไชส์

โดยบริษัทจะชูจุดขายเรื่องเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ความรวดเร็วและความทนทานของเครื่องซักระดับอุตสาหกรรมความจุ 10-20 กิโลกรัม ใช้เวลาซักน้อยกว่าเครื่องครัวเรือนถึง 50% และรวมเวลาซัก-อบเพียง 60 นาที และอายุใช้งาน 10 ปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายและการเสียโอกาสขณะซ่อมบำรุง ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและความคุ้มค่าของแฟรนไชซี

“ภายในปีนี้จะมีแบรนด์เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียง 2-3 รายเป็นมากกว่า 10 รายทั้งไทย มาเลเซีย ไต้หวันและอื่น ๆ ส่งผลให้การแข่งขันด้านค่าแฟรนไชส์และคุณภาพของตัวเครื่องซัก-อบผ้าดุเดือดขึ้นตามไปด้วย”

ชูไอโอที-ออนไลน์เพย์เมนต์

ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มทดลองใช้งาน “ลอนดรี ฟาร์ม” (Laundry Farm) ระบบไอโอทีและออนไลน์เพย์เมนท์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและอำนวยความสะดวก โดยผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบข้อมูลของเครื่อง เช่น สภาพเครื่อง รายได้ จำนวนเหรียญ ส่วนลูกค้าสามารถดูสถานะว่าเครื่องวางหรือไม่แบบเรียลไทม์ เช่นเดียวกับการชำระเงินผ่านมือถือด้วยการหักจากบัญชีธนาคารโดยตรง ซึ่งอนาคตจะต่อยอดเพื่อเก็บบิ๊กดาต้าและนำมาอัพเกรดการบริการ-การตลาดของแต่ละสาขาให้สัมพันธ์กับลูกค้าในพื้นที่

ขณะเดียวกันเตรียมตั้งออฟฟิศต่างจังหวัดแห่งแรกในพัทยา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมีประชากรหนาแน่นและเต็มไปด้วยที่พักรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงอยู่ไม่ไกลกทม.เกินไปจึงประสานงานได้ง่าย โดยปัจจุบันบริษัทมีสาขาในภาคตะวันออก 9 สาขา

แฟรนไชส์ ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ

ซัก-อบเริ่มต้น 40 บาท

ซึ่งระบบใหม่นี้จะเป็นการอัพเกรดธุรกิจ รวมถึงการวางโพซิชั่นเป็นเชนร้านสะดวกซัก 24 ชั่วโมงสไตล์ญี่ปุ่นแบบครบวงจร ให้บริการทั้งเครื่องซัก-อบผ้าระดับอุตสาหกรรม ตะกร้าผ้าและโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งรอ รวมถึงบริการฟรีไวไฟ พร้อมตกแต่งด้วยสีสันสว่างสดใสเป็นระเบียบเรียบร้อย มีค่าใช้บริการซัก 40-80 บาท ตามขนาดเครื่อง และค่าอบอีก 40 บาท

เน้นขยายสาขาในย่านชุมชนระดับกลาง-บน ด้วย 2 โมเดล คือไซซ์ M พื้นที่ 40-60 ตร.ม. มี 5-6 เครื่อง และ L พื้นที่ 60 ตร.ม.ขึ้นไปใช้เครื่องประมาณ 13 เครื่อง ราคา 2.2 และ 3 ล้านบาทตามลำดับ แบ่งจ่าย 3 ปี และมีค่ารอยัลตี้ฟีตั้งแต่ปีที่ 4 อีก 86,000 บาทและ 110,000 บาทต่อปีตามลำดับ ถือว่าอยู่ระดับกลางเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อาทิ “คลีนโปร” จากมาเลเซีย

โดยชูจุดขายเรื่องความเร็วในการซัก 30 นาทีและอบ 30 นาที สั้นกว่าร้านทั่วไปที่ใช้เวลาซักอย่างเดียว 1 ชั่วโมง พร้อมความคุ้มค่าจากความทนทานของเครื่องที่มีอายุใช้งาน 10 ปีและการรับประกันนาน 3 ปี มีศูนย์บริการกระจายทั่วประเทศทั้ง กทม. เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต ฯลฯ รวมถึงโปรโมชั่นและกิจกรรมซีเอสอาร์-การตลาด อาทิ ราคาพิเศษช่วงหลังเที่ยงคืน รับซัก-อบฟรีสำหรับผ้าที่จะนำไปบริจาค การทำตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้โดยมีโอกาสคืนทุนใน 2-3 ปี

ดีลแบงก์หนุนแฟรนไชส์

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าจับมือกับสถาบันการเงิน อาทิ เอสเอ็มอีแบงก์ ธนาคารกสิกรไทยเพื่ออำนวยความสะดวกด้านขอสินเชื่อ ตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการแฟรนด์ไชส์และผู้บริโภครุ่นใหม่ระดับกลาง-บนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างสะท้อนจากการขยายสาขารวดเร็ว 10-12 สาขาต่อเดือน จนปัจจุบันเริ่มประสบปัญหาสินค้าขาดจึงเร่งทำความเข้าใจกับแฟรนไชซีให้รอคิวเปิดสาขาใหม่ประมาณ 60-75 วัน พร้อมเร่งหาสินค้าเพิ่มเติม

ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาต่อเนื่องจนมีประมาณ 120-130 สาขาภายในสิ้นปี ต่ำกว่าเป้า 200 สาขาที่วางไว้เล็กน้อย แต่สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งขยายได้ 42 สาขา สร้างรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท หลังจาก 6 เดือนแรกสามารถทำรายได้แล้วกว่า 70 ล้านบาท เติบโตจาก 35 ล้านบาทในปีที่แล้วตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด