ลุยต่อ องค์การเภสัชฯเดินหน้าสร้างโรงงานยารังสิต หวังลดนำเข้ายาจากต่างประเทศ

นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ล่าสุดองค์การเภสัชฯได้ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างและควบคุมงาน โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตระยะที่ 2 กับ บริษัท โปรเจ็ค แอลไลแอ็นซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ควบคุมงานก่อสร้างโรงงานฯ โดยโรงงานฯนี้ จะผลิตยาน้ำ ยาฉีด ยาครีม/ขี้ผึ้ง และยาเม็ด กลุ่มยาที่รักษาโรคเรื้อรัง ยาที่มีมูลค่าการใช้สูง ยาจำเป็น ได้แก่ ยารักษาโรคเอดส์ เบาหวาน ความดัน ลดไขมันในเส้นเลือด วัณโรค ยาช่วยชีวิต ยาชา ยาฆ่าเชื้อ วิตามิน เป็นต้น และคาดว่าจะสามารถเปิดทำการผลิตได้ภายในปี 2565

สำหรับการก่อสร้างโรงงานฯแห่งใหม่นี้ สร้างขึ้นในพื้นที่องค์การเภสัชกรรม (คลอง10) อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี บนเนื้อที่ 60 ไร่ โดยโครงการฯนี้ได้รับการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 5,607.84 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างพร้อมติดตั้งระบบงานและเครื่องจักรเป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 ถึงมิถุนายน 2565 สำหรับรองรับกำลังการผลิตยาที่ย้ายฐานการผลิตมาจากโรงงานที่องค์การเภสัชกรรม ถนนพระรามที่ 6 และผลิตยารายการใหม่ที่ได้ทำการวิจัยและพัฒนาสำเร็จ และด้วยเป็นโรงงานที่มีศักยภาพสูง จะทำให้สามารถขยายกำลังการผลิตยาโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันกว่า 1 เท่าตัว ซึ่งจะช่วยทำให้ช่วยรัฐประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยา ได้มากกว่ามูลค่าในปัจจุบันที่ประหยัดได้มากกว่าถึงปีละ 7,500 ล้านบาท

สอดรับกับ ดร.ภญ.มุกดาวรรณ ประกอบไวทยกิจ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนรายละเอียดของโรงงานฯนี้ ประกอบไปด้วย อาคารผลิตยาเม็ด ที่มีกำลังการผลิต 6,000 ล้านเม็ด/ปี อาคารผลิตยาครีม/ขี้ผึ้ง ยาน้ำใช้ภายนอก 0.637 ล้านกิโลกรัม/ปี ยาฉีด 34.60 ล้านขวด (หลอด)/ปี อาคารผลิตยาน้ำรับประทาน 6 ล้านลิตร/ปี อาคารคลังสำรองวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ สามารถเก็บสำรองวัตถุดิบและอุปกรณ์การบรรจุ ได้ 9,800 พาเลท

นอกจากนี้ยังมีอาคารสาธารณูปโภคกลาง อาคารบำบัดน้ำเสีย อาคารผลิตไอน้ำ อาคารสำรองน้ำดิบ อาคารวิศวกรรมและซ่อมบำรุง อาคารจอดรถและพักขยะ อาคารโรงอาหาร อาคารอำนวยการ อาคารบำบัดน้ำเสีย อาคารรีไซเคิลน้ำ และถนนโดยรอบโครงการฯ

“จากกำลังการผลิตดังกล่าว จะทำให้ประเทศไทยมียาไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ และเพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็นต่างๆ ให้กับผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม อีกทั้งยังสามารถลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ สามารถช่วยรัฐประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ”