“อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ” ปรับโมเดล…ทางรอดธุรกิจ

สัมภาษณ์

ขณะนี้แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ในแง่ของปัจจัยและแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจต้องปรับตัวและประคับประคองตัว เช่นเดียวกับธุรกิจอีเวนต์ที่ขณะนี้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และทยอยประกาศจัดงานตั้งแต่ต้นปี 2564 ยิงยาวถึงปลายปี

“เกรียงไกร กาญจนะโภคิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีเวนต์รายใหญ่ ได้กล่าวในงาน “THAILAND MARKETING DAY 2020” หรือวันนักการตลาดประจำปี 2563 ถึงภาพรวมของผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และการปรับตัวของธุรกิจอีเวนต์ไว้อย่างน่าสนใจ

ประธาน บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯเริ่มต้นเล่าว่า วิกฤตของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น สิ่งที่เตรียมมา 10 ปีไม่ช่วยอะไรเลย ในแง่ของรายได้ตัวเลขหายไปกว่า 1,400 ล้านบาท จนถึงวันนี้ทางการยังไม่เปิดให้บินไปต่างประเทศได้ ส่วนปีหน้ายังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเริ่มบินได้เมื่อไหร่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำจะปรับตัวอย่างไรให้เร็วสุด เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่าย มีพนักงาน staff 355 คน และมีค่าใช้จ่ายอยู่ 26 ล้านบาท แต่แคชโฟลว์ตอนนั้นเท่ากับศูนย์

ดังนั้น ทางรอดมาจากไอเดียของทีมงาน ให้บริษัทอีเวนต์ในเครือไปเปิดให้บริการพ่นฆ่าเชื้อ ลงทุนประมาณ 60,000 บาท ประมาณตารางเมตรละ 3 บาท จะคุ้มทุนใน 30 ครั้ง กลับมานั่งคิดจะต้องพ่นกี่ล้านตารางเมตรถึงจะได้ต้นทุน ภายใต้โจทย์มีอยู่ 2 ข้อ อย่างแรกคือ ธุรกิจอีเวนต์ได้รับผลกระทบอย่างมากและมีความหวาดกลัวเชื้อโรค

จึงมองไปถึงการขายแฟรนไชส์ภายใต้ชื่อ KILL & KLEAN จะเป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการฉีดฆ่าเชื้อ มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บ้าน ร้านอาหาร และอาคารสำนักงาน เป็นต้น โดยเริ่มขายแฟรนไชส์เมื่อกลางเดือนเมษายน ได้อิมแพ็กต์เยอะมาก คนแย่งกันซื้อ และเริ่มมีกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ค้าปลีกรายใหญ่ติดต่อเข้ามา แต่บริษัทจำกัดว่ากรุงเทพฯ 5 เจ้า ภูเก็ต 3 เจ้า เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกัน

ถามว่าชีวิตนี้ผมเคยทำธุรกิจอย่างนี้ไหม มันคือแบรนดิ้งอย่างเดียวเลย ทำให้ปัจจุบันมีแฟรนไชส์อยู่ 25 แห่ง ใน 26 ประเทศ

ธุรกิจอีเวนต์เริ่มฟื้นตัว

ซีอีโอบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯยังกล่าวถึงธุรกิจอีเวนต์ว่า วันนี้อินเด็กซ์ฯได้ set up มาตรฐานให้วงการอีเวนต์เพราะเป็นเจ้าแรกที่เปิด หลังจากรัฐบาลประกาศอนุญาตให้จัดงานอีเวนต์ได้ ขณะนั้นได้เตรียมจัดคอนเสิร์ตเรียกว่า เฟรนด์ชิป อีโคโนมี พยายามดีลกับศิลปินและซัพพลายเออร์ ร่วมกันสร้างมาตรฐานการจัดงานให้มีการเว้นระยะห่างตามภาครัฐกำหนด และเปิดช่องทางให้สามารถดูได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อเพิ่มแวลูให้มากขึ้น หากสังเกตจะเห็นว่าเราขับเคลื่อนได้เร็วมาก และกลายเป็นสแตนดาร์ดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.

“วันนี้ถามว่าอีเวนต์กลับมาแล้วหรือยัง คำตอบคือ เริ่มกลับมาแล้ว แต่กลับมาแบบไม่ปกติ ลดลงประมาณ 1 ใน 3 เม็ดเงินลดลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีคือ เรามีสินค้าอยู่เต็มออฟฟิศ ก็สร้างงานให้เกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง จึงไปขอความร่วมมือกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เนรมิตสถานที่ให้เหมือนท่องเที่ยวอยู่ญี่ปุ่น เพื่อสอดรับกับอินไซต์ที่ทุกคนทำในการหาที่ถ่ายรูป มองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ สิ่งที่ทำจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเดสติเนชั่นที่ทุกคนไปถ่ายรูปกัน

ครีเอตธุรกิจใหม่เสริมพอร์ต

“เกรียงไกร” สำหรับแผนการดำเนินงานภายในปี 2564 สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากโควิด-19 คือ คนกำลังทำที่ท่องเที่ยวไว้รอปีหน้า อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯจึงเตรียมจัดงานอีเวนต์สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทยประมาณ 4-5 งาน เริ่มประเดิมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย ซึ่งจริง ๆ แล้วเทศกาลประดับไฟฤดูหนาวคุยกันมาเป็นปี โดยจะต้องทำสิ้นปี แต่เราไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดจะเป็นอย่างไร จึงเริ่มภายในปีหน้า แต่จะจัดงานเดียวคงไม่พอ จึงวางแผนจัดในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย เช่น กรุงเทพฯ อุดรธานี สมุทรปราการ ขณะเดียวกัน ก็ดึงบัตรราคาให้ถูกลง แต่เพิ่มจำนวนคน ตั้งเป้า 2-3 แสนคน/งาน ทั้งหมดนี้คือที่แพลนไว้

แทนที่จะมานั่งรอคนจ้าง เราก็จ้างตัวเองเลย คิดและขายโปรเจ็กต์แล้วไปดีลกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

นอกจากธุรกิจอีเวนต์ที่ได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีธุรกิจโรงแรมและโรงพยาบาลที่ไม่มีลูกค้า จึงเห็นโอกาสขยายธุรกิจใหม่ ภายใต้แบรนด์ ANYA MEDITEC ด้วยแนวคิด Bring Hospital to Hotel เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงระหว่าง hospital+hotel+technology เข้าด้วยกัน ให้บริการเริ่มตั้งแต่การตรวจ screening test โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลสมิติเวช ตามมาด้วยการทำ sleep test เพื่อวิเคราะห์ผลการนอนหลับอย่างมีคุณภาพแบบเจาะลึก และดีไซน์โปรแกรมเพื่อรักษาต่อไป

โดยเฟสแรกปีนี้จะเป็นพันธมิตรกับโรงแรม 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้บริการ ANYA MEDITEC ส่วนปี 2564 จะเพิ่มเป็น 20 แห่ง ตั้งเป้าหมายปีแรกทำรายได้ 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยให้โรงแรมมีโอกาสหารายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่

รายได้ไตรมาส 4 กลับมาบวก

ซีอีโออินเด็กซ์ฯยังเล่าอีกว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้ช่วงโควิดแน่นอนว่าปีนี้ตัวเลขขาดทุน แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ในไตรมาส 4 เรากลับมาบวกเรียบร้อยแล้ว และตั้งแต่ปีหน้าเราจะเปลี่ยนโมเดลของธุรกิจเราไปเลย และทุก ๆ โมเดลเราไม่ได้จ้างทีมงานใหม่ เราเห็นศักยภาพของคนในองค์กรที่สามารถปรับตัวได้ดีมาก

เพราะฉะนั้น ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่า วัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญมากในสถานการณ์แบบนี้

ดังนั้น วัฒนธรรมอินเด็กซ์ฯที่องค์กรสร้างขึ้นมา คือ ทำให้ทุกคนเป็นแบบหมาข้างถนน ผมใช้คำแบบนี้ คำว่าหมาข้างถนนสำหรับผม คือ มองหาโอกาสตลอดเวลา เพราะคุณไม่มีแหล่งอาหารที่ชัวร์ทุกวัน เพราะหมาข้างถนนคุณต้องดูแลตัวเอง คุณต้องระแวดระวังไปเจอคู่กัดคู่ใหม่ที่มันผ่านมา คุณไม่มีทางที่จะเป็นหมาคุณหนูที่อยู่ในบ้านได้เลย เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมนี้จะพิสูจน์ได้ในวันที่เราเดือดร้อนและระมัดระวังตัว

ถึงแม้ว่าอินเด็กซ์ฯจะเป็นธุรกิจอีเวนต์เบอร์ต้น ๆ ของประเทศไทย ก็ต้องปรับตัวให้เร็วถึงจะอยู่รอดได้ ถ้าเราไม่มีแนวคิดแบบนี้จะทำให้การต่อสู้ในช่วงที่ผ่านมาลำบากมาก