โควิด กระทบดัชนีเชื่อมั่นค้าปลีก เม.ย 64 ลด 43% ลุ้นมาตรการรัฐ

ส.ผู้ค้าปลีกไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนเม.ย.64 ลดลงกว่า 43% จากมี.ค 64 ชี้วิกฤตเทียบล็อกดาวน์เม.ย.ปี 63  ผู้ประกอบการหวั่นกระทบยอดขายลด 15-40 % กระทบการจ้างงาน-สภาพคล่อง วอนรัฐฉีดยาแรงช่วยเยียวยาทั้งซอฟท์โลน-ค่าจ้าง พร้อมอัดมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายต่อเนื่อง

วันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า  สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทย ในทุกภาคส่วนของทั้งค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการซึ่งได้ดำเนินเป็นประจำทุกเดือนโดยครั้งนี้เดือนเมษายนเป็นการสำรวจทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 16-24 เมษายน 2564 มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประกอบด้วยร้านค้าปลีกสินค้าทั่วประเทศ ซึ่งมีช่องทางจำหน่ายรวมกันกว่า 23,000 แห่ง และร้านค้าปลีกบริการภัตตาคารร้านอาหารที่มีช่องทางบริการกว่า 6,000 แห่ง โดยมีข้อสรุปดังนี้

1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (Retail Sentiment Index) เดือนเมษายน ปรับลดลงกว่า 43% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมโดยดัชนีปรับลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างชัดเจน ใกล้เคียงกับดัชนีความเชื่อมั่นเดือนเมษายน 2563 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสามในเดือนเมษายน กระจายเป็นวงกว้างกว่าที่ผ่านมา ประกอบกับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าเป็นปัจจัยที่เพิ่มความกังวลให้แก่ผู้ประกอบการ 

2. ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า เปรียบเทียบระหว่างดัชนีในเดือนมกราคม 2564 และดัชนีในเดือนเมษายน 2564 จะพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ในเดือนเมษายน 2564 ลดต่ำกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ในเดือนมกราคม 2564 สะท้อนถึงความไม่มั่นใจถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้วยข้อกังวลถึงความรุนแรงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ค่อนข้างสูง และความวิตกกังวลถึงความไม่ชัดเจนของแนวทางการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐนำเสนอ 

3. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อการเติบโตยอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายน same store sale growth (SSSG) เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม (Month on Month) มีทิศทางที่ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม สะท้อนให้เห็นว่ายอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายนลดลงจากเดือนมีนาคมเกือบครึ่ง ซึ่งเป็นการลดลงทั้งยอดซื้อต่อบิล  และความถี่ในการจับจ่าย 

4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมรายภูมิภาคปรับลดลงจากเดือนเมษายนในทุกภาค สะท้อนถึงสภาวะความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่กระจายทุกภูมิภาค โดยเฉพาะดัชนีที่ลดลงชัดเจน กรุงเทพปริมณฑล และภาคใต้ ที่เป็น Super Spread หลัก

5. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเมื่อจำแนกตามประเภทความร้านค้าปลีกเปรียบเทียบระหว่างเดือนเมษายนและเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ลดลงอย่างชัดเจนและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ในทุกประเภทร้านค้าปลีก ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนทรงตัวเท่าเดิม สะท้อนถึงผู้ประกอบการร้านค้าปลีกไม่มีความหวังและความมั่นใจในมาตรการภาครัฐที่จะฟื้นกำลังซื้อกลับมาได้เร็ว

6. ยกเว้นร้านค้าปลีกประเภทวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งและซ่อมบำรุง ที่ปรับลดต่ำกว่าเดือนมีนาคมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ทั้งนี้จากราคาเหล็กที่เป็นปัจจัยพื้นที่ในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นและช่วยให้ราคาวัสดุก่อสร้างอื่นปรับตัวขึ้นตาม ประกอบกับ ร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง ยังคงได้รับแรงหนุนจากวิถี New Normal ทำงานที่บ้าน WFH ทำให้มีความนิยมในการปรับภูมิทัศน์ภายในที่อยู่อาศัย

7. จากประเด็นคำถามพิเศษประจำเดือนให้ผู้ประกอบการประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและผลกระทบต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ผลการสำรวจผู้ประกอบการที่บริหารร้านค้าปลีกกว่า 29,000 แห่ง พบว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือนมีนาคมมากกว่า 25% ผลจากผลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเมษายน และประเมินว่ายอดขายจะได้ผลกระทบมากกว่า 15-40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม

8. ผู้ประกอบการยังมีความกังวลถึงการจ้างงานที่จะลดลงจากยอดขายที่หดหายไป 

ผู้ประกอบมีข้อเสนอให้ภาครัฐควรมีมาตรการเยียวยาช่วยจ่ายค่าแรงพนักงาน 50% รวมถึงควรหาแหล่ง Soft Loan ที่เข้าถึงง่ายให้กับผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ

โควิดระลอกใหม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างหนัก โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว โควิดระลอกใหม่ เพียงแค่เขตการควบคุมพิเศษและเข้มงวดสีแดงเข้ม 6 จังหวัด จะกระทบถึง 22% ต่อ GPP รวมของประเทศ ซึ่งมีการจ้างงานภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว กว่า 3.12 ล้านคน

สมาคมฯ จึงวิตกถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายใกล้เคียงกับการ Lockdown เมื่อปี 2563  ร้านค้าแม้ไม่ถูกปิดแต่ก็ไม่มีลูกค้า ภัตตาคาร ร้านอาหารไม่อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้าน ธุรกิจที่ผ่านมาก็ได้ปิดกิจการเป็นจำนวนมาก การเลิกจ้าง การว่างงานมีมาอย่างต่อเนื่อง สต็อกสินค้าล้นเนื่องจากไม่มีการขาย ธุรกิจขาดสภาพคล่องอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม สมาคมฯได้ขอให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีก ศูนย์การค้า และร้านอาหาร ดังนี้  1. สนับสนุนค่าจ้างพนักงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยมาตรการภาษี เพื่อไม่ให้มีการลดพนักงานหรือเลิกจ้าง 2.สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แก่ผู้ประกอบการอย่างจริงจังและรวดเร็ว เพราะด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่ของผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถดำเนินธุรกิจได้เพียง 3-6 เดือน 3.ประกาศการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน 4. เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว ครอบคลุม และทั่วถึง