ตลาดความงามโลกฟื้นตัว ลอรีอัล โกยยอดครึ่งปีเทียบก่อนโควิด

ตลาดความงามโลกฟื้นตัว ลอรีอัล กรุ๊ป ยืน 1 มาร์เก็ตแชร์สูงสุดทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในทุกภูมิภาค เติบโตทะลุ 20.7% เทียบเท่าก่อนเกิดโควิด ตั้งเป้าดึงดาต้า-เอไอช่วยธุรกิจ ทรานส์ฟอร์ม เป็นบิวตี้เทคเต็มตัว

วันที่ 4 สิงหาคม 2564 นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดความงามโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องทีละนิด และมีอัตราการเติบโตในระดับดับเบิลดิจิต สะท้อนจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ของลอรีอัล ที่เติบโตขึ้น 20.7% ท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิดที่ยังมีความผันผวนสูง

สำหรับลอรีอัล กรุ๊ป ยังคงความเป็นผู้นำตลาดความงาม โดยสามารถครองมาร์เก็ตแชร์ในสัดส่วนที่สูงขึ้นในทุกแผนกและทุกภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นหมวดผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโตขึ้น 41% จากเทรนด์การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของซาลอนและร้านเสริมสวย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเป็นอันดับหนึ่งของลอรีอัล

ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคเติบโตขึ้น 6.3% แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงเติบโตขึ้น 28.1% หลังมีปัจจัยหนุนการเปิดบริการหน้าร้านบางส่วน และแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโตขึ้น 37.5% จากปรับสินค้าสกินแคร์ เน้นฟังก์ชั่นสุขภาพมากขึ้น เพื่อสอดรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคโควิด

อย่างไรก็ตาม เฉพาะช่วงไตรมาส 2 ลอรีอัลมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น เทียบเท่าระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด โดยเติบโตขึ้น 6.6% เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2562 และเพิ่มขึ้น 8.4% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปี 2562

โดยปัจจัยหลักมาจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบริษัท ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเดิม ตลอดจนกลุ่มพันธมิตรไว้ได้เป็นอย่างดี 

สำหรับช่องทางอีคอมเมิร์ซเติบโตในระดับปานกลางที่ 29.2% คิดเป็นสัดส่วนเพียง 27.3% ของยอดขายทั้งหมด เนื่องจากช่องทางค้าปลีกเริ่มกลับมาเปิดบริการแล้วอีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่กลุ่มค้าปลีกท่องเที่ยวนั้นได้ฟื้นตัวดีขึ้น จากอานิสงส์การเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้นช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับความสำเร็จในตลาดไหหลำ 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้ลอรีอัลโตต่อเนื่อง คือ การมีส่วนร่วมทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญของ ลอรีอัล กรุ๊ป เป็นครั้งแรกทั่วโลก 

เพื่อให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจทั้งหมด ได้รับทราบถึงการดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้จุดมุ่งหมายในการ “สร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้”

พร้อมกันนี้ยังได้มีการเปิดตัว “L’Oréal For Youth” ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกที่มีจุดประสงค์ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานเยาวชนด้วยการเพิ่มโอกาสในการทำงานสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ให้เพิ่มสูงขึ้นอีก 30%

“ก้าวต่อไปของ ลอรีอัล กรุ๊ป คือการเติบโตในอัตราการขยายตัวระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤต ด้วยการใช้เทคโนโลยี data และ AI เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัท Beauty Tech อย่างเต็มตัว

โดยช่วงครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทจะใช้กลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบเชิงรุก ควบคู่กับการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต”

สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังมีการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด 

การเติบโตของตลาดได้รับแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค จากแบรนด์การ์นิเย่ และเมย์เบลลีน นิวยอร์ก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงในกลุ่มน้ำหอม และสกินแคร์ และแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีแบรนด์ลา โรช-โพเชย์ ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง

ขณะที่อีคอมเมิร์ซที่เติบโตในภูมิภาคดังกล่าวยังช่วยผลักดันให้สินค้าทุกหมวดของลอรีอัลเติบโตขึ้นเช่นกัน