เทสต์คาร์ วุฒิณี ทับทอง
ฮอนด้า เอชอาร์-วี คันนี้เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือ ใจความที่อยากสรุปรวบยอด หลังจากได้ร่วมทดสอบรถคันนี้
- ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
- เหล้าเบียร์ 5 แสนล้านสะเทือน สิงห์-ช้างอ่วม กฎหมายใหม่ห้ามโฆษณา
- ประกันสังคม เตรียมขยายเพดานเงินสมทบ เป็น 17,500-20,000 เกษียณ 65 ปี
ฮอนด้า เอชอาร์-วี ไฮบริด หรือ ฮอนด้า เอชอาร์-วี e:HEV เปิดตัวไปกลางเดือนพฤศจิกายน ฮอนด้าตั้งความหวังกับบี-เอสยูวี ตัวนี้ค่อนข้างมาก ด้วยความมุ่งหมายว่าจะพาฮอนด้ากลับขึ้นเป็นเจ้าตลาดในเซ็กเมนต์นี้อีกครั้ง หลังจากเสียแชมป์ให้โตโยต้าครอส
รถคันนี้ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่ทำตลาดในบ้านเรา ซึ่งฮอนด้าตัดสินใจถอดเอารุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาออก เหลือเพียงแต่รุ่นไฮบริด หรือ e:HEV
มี 3 รุ่นย่อยให้เลือก พร้อมกับเทคโนโลยี ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ที่ฮอนด้าภูมิใจนำเสนอ
การออกแบบของรถรุ่นนี้ พัฒนาภายใต้แนวคิด “AMP UP Your Life” จะมาเป็นพาร์ตเนอร์คู่ใจพาเราไปในทุก ๆ ที่
ส่วนเรื่องของการออกแบบและการดีไซน์นั้น เน้นความสปอร์ต โฉบเฉียวอย่างมีสไตล์ แฝงความเป็นแฟชั่นนิสต้าเข้ามาเล็ก ๆ
กระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำเงา ในรุ่น RS กันชนออกแบบใหม่ มีเส้นสีแดงคาดตัด พร้อมสัญลักษณ์ AMP UP เก๋ ๆ ไฟหน้า LED ไฟท้ายแบบ LED light strip เชื่อมเป็นแนวยาวกับไฟเบรก สวยสะดุดตา สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต เสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
เรื่องของดีไซน์ ขอละไว้ ให้เป็นเรื่องแล้วแต่จริตและความชอบเฉพาะบุคคล
แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฮอนด้า เอชอาร์-วี เวอร์ชั่นนี้ออกแบบมาได้ค่อนข้างจะลงตัว น่าจะถูกใจทั้งคุณสุภาพสตรีและคุณสุภาพบุรุษ ที่พร้อมพารถคันนี้ไปทุกที่
ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารครบครัน ตามสไตล์ฮอนด้า สิ่งที่เติมเข้ามาแล้วค่อนข้างถูกอกถูกใจ คือ ในส่วนของประตูเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติ ที่ใช้งานค่อนข้างสะดวก เพียงแค่สอดเท้าเข้าไปยังบริเวณเซ็นเซอร์ใช้เวลาเพียงแค่ 1 วินาที แล้วชักเท้าออก ระบบก็พร้อมจะปฏิบัติการอย่างง่ายดาย
ตรงนี้ต้องชม ด้วยความเสถียรของระบบ ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น รวมทั้งระบบช่วยปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ เพียงแค่เรากดปุ่มสั่งการทิ้งไว้ แล้วเมื่อเดินออกไปไกลจากรถระยะ1-1.5 เมตร ฝาท้ายก็จะปิดให้เองโดยอัตโนมัติ อันนี้ดี
ส่วนที่หลายเสียงบ่นคือ หลังคาแบบพาโนรามิกซันรูฟ แบ่งออกเป็น 2 ช่อง สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตอนหน้า และห้องโดยสารตอนหลัง ที่ฮอนด้าออกแบบมาให้เปิดได้เพียงแค่แผ่นรองหลังคา ส่วนกระจกซันรูฟไม่สามารถเปิดออกได้ ขณะที่วัสดุรองกระจกบริเวณตอนหน้าเลื่อนเปิด-ปิดได้
แต่ในส่วนตอนหลังใช้เป็นแผ่นผ้า ต้องปลดคลิปเพื่อเปิดและปิด เหมือนที่บังแสงแดด ทีมงานฮอนด้าชี้แจงว่า นี้คือดีไซน์ที่ตั้งใจ เพราะบริเวณหลังคากระจกมีการเคลือบสารเพื่อลดไอร้อนแล้ว
ตรงนี้ทีมออกแบบอาจจะลืมไปว่า ภูมิประเทศของไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ถ้าเปิดวิ่งในช่วงแดดอ่อน ๆ พอรับได้
แต่โดยส่วนตัวมองว่า กระจกหลังคาซันรูฟของรถคันนี้ ไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะตัวกระจกเองก็ไม่สามารถเปิดออกเพื่อรับลมได้ จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาก็ได้ ไม่น่าเกลียด
ส่วนขุมกำลังของเครื่องยนต์ที่มีหัวใจไฮบริด ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตรนั้น จากการทดสอบในช่วงออกจากจุดสตาร์ต วิ่งผ่านการจราจรบนมอเตอร์เวย์ วิ่งที่ความเร็ว 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กับสภาพการจราจรที่รถค่อนข้างหนาแน่น วิ่งด้วยโหมด normal ความคล่องตัวของรถกับพวงมาลัย และพละกำลังในช่วงต้น ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะจังหวะขึ้นแซงเปลี่ยนเลน ไม่สนุก
บางจังหวะเมื่อกดคันเร่งเพื่อเรียกกำลังของรถ การตอบสนองของเครื่องยนต์และมอเตอร์มีเสียงของการเค้นปลุกกำลัง
แต่เมื่อวิ่งออกนอกเมืองมาสักระยะ ปรากฏว่า วิ่งที่ 100-120 กิโลเมตรต่อช่วงโมง รถคันนี้ตอบสนองได้ดีขึ้น
สลัดภาพความน่าอึดอัดในช่วงแรกออกไป กลายเป็นรถที่ขับสนุก มีจังหวะกดเรียกความเร็ว เครื่องยนต์ตอบสนองทำได้ค่อนข้างเนียน แต่ก็ยังมีบางจังหวะที่อาจจะต้องใช้เวลารอรอบ
ส่วนช่วงล่าง เวอร์ชั่นนี้เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อน ต้องชมเพราะฮอนด้าพัฒนามาได้ค่อนข้างดี มีความนุ่มนวลในการซับแรงกระแทก และยังหนึบหนับมั่นใจยิ่งขึ้นในจังหวะเข้าโค้งแรง ๆ หรือวิ่งด้วยความเร็วสูง ดีกว่าเวอร์ชั่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี มีให้เลือก 3 รุ่น ราคาตั้งแต่ 975,000-1,175,000 บาท ยังมีความน่าสนใจไม่น้อย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ชื่อชั้นของแบรนด์ และความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ ก็น่าจะทำให้ตลาดนี้แข่งขันกันสนุกมากขึ้น